วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Visitor Visa ครั้งแรกของการยื่นวีซ่าเยื่ยมเยียน

                    ณ 23.08.2012 เราไปยื่นวีซ่าเยี่ยมเยียน ณ สถานทูตเยอรมัน โดยจองคิวได้ตอน 10.30 น. ออกจากบ้านตั้งแต่ 8.00 น. เราเดินทางโดยข้ามเรือไปสาธุประดิษฐ์ นั่งรถไปครองเตย แล้วต่อรถไปสาทร รถติดตลอดเส้นทาง แถมแดดร้อนได้ใจจริงๆ ร้อนมาก ไปถึงสถานทูตประมาณ 9.30 น. หลังจากตรวจกระเป๋า ยึดโทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ และร่มไป เราก็เข้าสู่ด้านในของสถานทูตเพื่อทำการยื่นวีซ่า แต่ด้วยความที่เราโง่ หรือเขาไม่มีสัญลักษณ์ชัดเจนก็ไม่ทราบ เราเดินเลยเคาท์เตอร์ที่ยื่นบัตรคิวไปถึงด้านในที่เขียนโปสเตอร์ขนาดใหญ่ A4 ว่า กรุณานั่งรอเรียกชื่อ
                   เราเดินไปยังป้ายโปสเตอร์นั้นแล้วก็ถามเจ้าหน้าที่ว่า ดิฉันต้องการมายื่นวีซ่าต้องทำยังไงบ้างคะ พร้อมยื่นกระดาษที่เราจดโค้ดที่ได้รับจากการจองคิวผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ของ สถานทูต  เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นบอกว่าให้เราไปยังเคาน์เตอร์ด้านหน้า เราก็ถามว่าเคาน์เตอร์ไหน เจ้าหน้าที่ก็ตอบมาว่า ที่มีผู้หญิงนั่งอยู่ ซึ่งเราดูตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นชี้ เราก็เห็นว่ามันมีแค่เคาน์เตอร์เดียว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแค่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดียว ไม่น่าจะเรียกเคาน์เตอร์ได้ แต่เราก็ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่คนนั้น
                   พอเราเดินไปถึงโต๊ะเคาน์เตอร์นั้น ก็มีผู้หญิง 3 คนนั่งรอคิวอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆโต๊ะ เราก็เข้าไปนั่งเป็นคิวที่ 4 แต่ด้วยความสงสัยว่าทำไมเคาน์เตอร์รับยื่นวีซ่าถึงห่วยแตก เป็นแค่โต๊ะทำงานตัวเดียวเท่านั้น และก็มีป่ายเขียนบอกราคาของค่าจ้างรับกรอกฟอร์มการขอวีซ่า ชุดละ 180 บาท เราจึงถามผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ว่า ขอโทษนะคะ ที่นี่รับยื่นวีซ่าหรือป่าวคะ  ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า ไม่ใช่ค่ะที่นี่เขารับจ้างกรอกฟอร์ม เราก็ตกใจนิดๆ ( จริงๆไม่ได้ตกใจหรอก โมโหนิดๆ กับไอ้เจ้าหน้าที่คนนั้น ไหงบอกให้เรามาเคาน์เตอร์นี้วะ จะว่าเข้าใจผิดก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเค้าบอกว่าเคาน์เตอร์ที่ผู้หญิงหนั่ง อยู่ก็มีแค่ไอ้เคาน์เตอร์โต๊ะเขียนหนังสือนี้ที่เดียว) แล้วผู้หญิงคนนั้นก็บอกต่อว่า เราต้องไปยื่นที่เคาน์เตอร์ข้างๆทางเข้าเพื่อขอรับบัตรคิว  หลังจากขอบคุณผู้หญิงคนนั้น เราก็กลับไปที่เคาน์เตอร์ตรงทางเข้า แล้วก็เอากระดาษที่เราจดโค้ดการจองคิว ไปให้เขาเพื่อให้เค้าออกบัตรคิวให้ โดยบัตรคิวจะระบุเคาน์เตอร์ที่เราจะต้องไปยื่นเอกสารซึ่งเราได้เคาน์เตอร์ 13
                   วันนี้คนขอวีซ่าเยอะ (หรืออาจจะปกติก็ไม่แน่ใจเพราะเพิ่งมาขอวีซ่าที่นี่เป็นครั้งแรก) ทุกเคาน์เตอร์มีคนนั่งรออยู่ประมาณ 4-6 คน เรานั่งรถด้านนอกประมาณ 45 นาที พอเวลา10.30 น. ก็ถึงคิวเราได้เข้าไปยื่นเอกสาร ณ เคาน์เตอร์ 13 ซึ่งแต่ละเคาน์เตอร์จะมีประตูกระจกกั้นไม่ให้บุคคลภายนอกได้ยินการสนทนา แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพูดผ่านไมค์โครโฟนก็ตาม นอกจากจะโฟนออกมาให้ได้ยินกันทั่วสถานทูต เจ้าหน้าที่เป็นผู้ชาย (ไม่แน่ใจชายแท้หรือป่าว อิอิ) แต่ดูท่าทางไม่น่ากลัวเหมือนใย เคาน์เตอร์ 12 ( หน้าตาคุณเธอก็ดีนะ แต่ว่าคุณเธอวีน คนขอวีซ่าเรื่องอะไรสักอย่างเสียงแข็ง และดัง (เหมือนว่าคนที่ขอวีซ่าไม่เข้าใจที่ใยนั่นพูดก็เลยเปิดประตูเข้าไปถาม อีกรอบ คนภายนอกเลยได้ยินการสนทนาของเคาน์เตอร์ 12) เราไม่ชอบเลยกับการแสดงกิริยา น้ำเสียงแบบนั้น การทำงานบริการ น่าจะทำงานด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่ก็นะ คงมีแค่งานบริการของสถานทูตเนี่ยแหละ ที่เราลูกค้า (คนขอวีซ่า) ต้องแทบกราบเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเพื่อให้ได้วีซ่า
                        เจ้าหน้าที่รับเอกสารไปก็ตรวจสอบด้วยความคล่อง แคล่ว  เอกสารได้แก่ แบบฟอร์มขอวีซ่าพร้อมติดรูปให้เรียบร้อย + รูปอีก 1 ใบ, พาสปอร์ต +สำเนาพาสปอร์ต, สำเนาวีซ่า, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาตั๋วเครื่องบิน, สำเนาประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ, จดหมายรับรองตัวเอง ( เราไม่ได้ทำงานแล้วเลยเขียนจดหมายบอกถึงว่าทำไมตอนนี้ไม่ได้ทำงาน และเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องกลับเมืองไทยหลังจากไปเยอรมันคราวนี้) , สมุดธนาคาร + สำเนาเงินฝากย้อนหลัง 6 เดิอน,หนังสือเชิญตัวจริงและสำเนา ( เจ้าหน้าที่เอาเฉพาะสำเนาไป), จดหมายที่แฟนเขียนแสดงความสัมพันธ์ และต้องการเชิญเราไปประเทศเยอรมัน , สำเนาพาสปอร์ตคนเชิญ (คือแฟน), สำเนาทุกหน้าที่สแตมป์ว่าแฟนเคยมาเมืองไทย, แบงค์สเตทเมนท์ของแฟน, หลักฐานเพิ่มเติมของเราเช่น วุฒิการศึกษา , ประกันสังคม, รูปถ่ายคู่กันของเรากับแฟน ( แต่เจ้าหน้าที่ไม่เอาเลย พวกเอกสารเพิ่มเติมเหล่านี้ แต่เราก็ไม่แคร์ถือว่าผ่านสายตาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะได้เชื่อว่าเรากับแฟนรู้จักกันจริง ๆ ) แล้วเจ้าหน้าที่ก็ตั้งคำถาม ถามเราเป็นชุด พร้อมกับมาร์ค โน่นนี่ บนแบบฟอร์มเฉพาะของเจ้าหน้าที่
ไปเยี่ยมใคร เพื่อน แฟน หรือ ครอบครัว (เราตอบแฟนค่ะ)
คบกันมานานเท่าไหร่, เจอกันเมื่อไหร่ , เจอกันที่ไหน  ---------- ขอไม่เขียนถึงนะจ๊ะ อิอิ
ปัจจุบันพักอยู่ที่ไหน ( สมุทรปราการค่ะ )
เคยไปยุโรปไม๊ (เคยค่ะ 2 ครั้ง) 
ไปที่ไหน ( ออสเตรีย และก็เยอรมันค่ะ)
ไปทำอะไร ( ไปเที่ยวค่ะ )
ขอวีซ่าอะไรไป ( ท่องเที่ยวค่ะ )
เป็นโสด หรือหย่า ( เป็นโสดค่ะ )
เคยแต่งงานไม๊ ( ไม่เคยค่ะ )
มีลูกไม๊ ( ไม่มีค่ะ )
ปัจจุบันทำงานอะไร ( ไม่ได้ทำค่ะ เพราะพอกลับจากทริปที่แล้ว ก็มีคนอื่นมาทำตำแหน่งที่เราทำแล้ว ยังไม่ทันอธิบายจบพี่แกไม่ยอมฟังเลยถามคำถามต่อไปเลย )
มีที่ดินไม๊ ( ไม่มีค่ะ )
คิดจะแต่งงานไม๊ ( ไม่คิดค่ะ )
เจอแฟนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ( อืม ... จำไม่ได้ต้องรำลึกแป๊บนึง เอ๊ะ เรากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่วะ อ้อ ... เดือน พค. ค่ะ เขามาส่งที่สนามบิน )
คุยกับแฟนเป็นภาษาอะไร ( อังกฤษค่ะ )
เคยเรียนภาษาเยอรมันไม๊ ( เราต้องตอบว่าเคย เพราะรู้มาว่าทางเกอเธ่ท์ส่งรายชื่อผู้ที่สอบ A1 ผ่าน ให้กับทางสถานทูต ตอนแรกเราว่าจะโกหกว่าไม่เคยเรียน เพราะกลัวว่าสถานทูตจะคิดว่าเราเรียนภาษาเยอรมันเพื่อเตรียมพร้อมจะแต่งงาน )
เรียนนานไม๊ ( เรียนเองคะประมาณครึ่งปีค่ะ เรียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบ )
เคยเทคคอร์สไม๊ ( เคยค่ะ - เข้าใจผิดนึกว่าถามถึงเคยสอบไม๊ )
ใช้เวลาเทคคอร์สนานแค่ไหน - ก็เลยทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าเขาหมายถึงไปลงเรียนภาษาเยอรมัน เราเลยตอบว่า ไม่ได้ไปเทคคอร์สค่ะ เรียนเอง ทางเวบส์ไซด์ของม.รามคำแหงค่ะ
เคยสอบ A1 ไม๊ ( เคยค่ะ )
ผ่านไม๊ ( ผ่านค่ะ )
เคยวีซ่าไม่ผ่านไม๊ ( เคยค่ะ ครั้งล่าสุดไปขอวีซ่าที่สถานทูตสเปนค่ะ)
ทำไมไม่ผ่าน ( เค้าให้เหตุผลว่า ที่พำนักไม่น่าเชื่อถือค่ะ เราพูดพร้อมกับชูใบเหตุผลที่เราไม่ได้รับวีซ่าจากสถานทูตสเปน เราแนบไปให้แต่เจ้าหน้าที่ไม่เอา พร้อมกับพูดอธิบาย ( ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ฟังหรือไม่แต่ก็จะอธิบาย อิอิ แต่ต้องพูดอย่างรวดเร็วเพราะกลัวพี่แกยิงคำถามต่อไป) ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไม ที่พำนักไม่น่าเชือถือ เพราะดิฉันจองโรงแรมออนไลน์ผ่านเวบส์ไซด์ของเอเจนซี่ )
แฟนเคยให้เงินใช้ไม๊ , ให้เท่าไหร่ ------ ขอไม่เขียนถึงนะจ๊ะ อิอิ
ไปวันไหน ( ไปวท. 1 กย. - 29 พย. ค่ะ)
ไปกี่วัน ( 90 วันค่ะ)
จะรับพาสปอร์ตเองหรือส่งทางไปรษณีย์ ( มารับเองค่ะ )  --- คำถามทุกคำถามเรากับแฟนฝึกซ้อมกันมาเป็นอย่างดี ว่าควรจะตอบว่าอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองโดยอ้างอิงข้อมูลตามความ จริง ทำอย่างไงก็ได้ให้สถานทูตเชื่อว่าเราแค่ไปเยี่ยมแฟนจริงๆ ไม่ได้คิดที่จะไปแต่งงานที่โน่น หรือคิดจะหนีไปอยู่ที่โน่น แล้วไม่ยอมกลับเมืองไทย  แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะให้วีซ่าเราหรือ ไม่ เพราะการอนุมัติวีซ่า มันไม่มีหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานอะไรที่แน่นอนตายตัว ต้องอาศัยบุญเก่าของผู้ขอวีซ่าอย่างแท้จริง
                           แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้เราเอาเอกสาร 2 ใบ (ใบสีเหลือง ( นัดรับวีซ่า) และใบสีขาว ( ชำระค่าธรรมเนียม ) นี้ไปชำระวีซ่าที่เคาน์เตอร์ 2  เราก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่ และก็เดินไปยังเคาน์เตอร์ 2   มาถึงเคาน์เตอร์ 2 เราก็ยื่นใบสีขาว เจ้าหน้าที่รับไปแล้วส่งกลับบอกว่า ให้กลับไปหาเจ้าหน้าที่ เคาน์เตอร์ 13 เพราะชื่อเราไม่ครบเกรงว่าใบเสร็จจะไม่สมบูรณ์ เราก็เดินกลับมายังเคาน์เตอร์ 13  บอกตามที่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 2 บอก พร้อมยื่นเอกสารการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า(สีขาว)  เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 บอกว่าก็ครบนี่ครับ คุณชื่อ รัตนา หรือป่าว เราบอก ค่ะ เจ้าหน้าที่ถามเราต่อ แล้วคุณยื่นใบสีเหลืองไปด้วยหรือป่าว เราบอกป่าวค่ะ เค้าบอกให้ยื่นไปด้วย เราก็เดินกลับมายังเคาน์เตอร์ 2 ยื่นเอกสารทั้ง 2 ใบ ใยเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 2 ดูในคอมพิวเตอร์แล้วบอกเราว่า ชื่อคุณในคอมพิวเตอร์ไม่ครบ ให้เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 รูดพาสปอร์ตอีกครั้ง เราก็เดินกลับมายังเคาน์เตอร์ 13อีก ก็บอกกับเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 ตามที่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 2 บอก ( โอ๊ย เดินหลายรอบ ชักเริ่มหงุดหงิด แต่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่เราต้องทำหน้ายิ้ม แบบว่าไม่เป็นไรค่ะ ดิฉัน ทนได้ แต่ในใจคิด ต้องเดินอีกกี่รอบวะเนี่ย ทำไมไม่โทรศัพท์ติดต่อกันวะ )  เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 ก็เริ่ม งง เพราะพี่แกก็แน่ใจว่า คีย์ถูกต้อง แถมถามนามสกุลเราอีกรอบว่าใช่ไม๊ ซึ่งก็ถูกต้องทุกอย่าง จนในที่สุดเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 บอกให้เราไปที่เคาน์เตอร์ 2 ได้เลย เราก็เดินไปยังเคาน์เตอร์ 2 ในเวลาเดียวกันเจ้าหน้า ที่เคาน์เตอร์ 13 ก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 2 เช่นกัน  ครบ 3 องค์ประชุม ( เรา เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 , 2 ) เจ้าหน้าที่ก็คุยกันเอง ปรากฏว่า สำเร็จ  เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 13 ยิ้มให้เราเป็นเชิงบอก เรียบร้อย เราก็ยิ้มตอบและพยักหน้าขอบคุณ  (แอบโล่งใจ นึกว่าต้องเดินอีกรอบ)   เราได้จ่ายค่าธรรมเนียม 2,400 บาท และได้รับไปเสร็จกลับบ้าน  วันที่มารับพาสปอร์ตคือวันที่ 30 สค. เวลา 9.00 - 10.00 น. เอ่อ ตั๋วเครื่องบินจองไว้ วันที่ 1 กย. รู้ผลวีซ่าวันที่ 30 สค. แล้วกรูจะเตรียมตัวทันเหรอเนี่ย บ้าแล้ว .... เป็นอันว่าต้องมองหาตั๋วใหม่                            

 ...... Yeah ปรากฏว่าได้วีซ่าค่ะ สถานทูตให้อายุวีซ่ามา 90 วันไม่ขาดไม่เกิน แถมตามเวลาที่ขอเดะ   หลังจากกลับจากเยอรมันต้องมารายงานตัวกับสถานทูตภายใน 5 วันด้วย ( ไม่มายด์อยู่แล้วเพราะกลับไทยแน่นอน ) อิอิ 

สอบ A1 เยอรมัน

                      วันนี้เป็นวันที่ 21 พฤษภาคม 2555  ซึ่งเป็นวันสอบภาษาเยอรมันพื้นฐาน หรือเรียกว่า A1  ที่สถาบันสอนภาษาเกเธ่ ถนนสาทร จากการที่เราเตรียมตัวมาได้สักพักใหญ่ๆ เสียน้ำตา (เพราะไม่ค่อยเข้าใจ และท้อแท้) และน้ำลาย (ต้องนั่งท่องศัพท์  ท่องเพศ ท่องประโยค สารพัด) ไปก็เยอะ วันนี้แหละ จะได้รู้กันล่ะว่าจะหมู่หรือจ่า จะสอบได้หรือว่าจะไม่ได้  เราออกจะตื่นตะหนก และประหม่าพอสมควร ประกอบกับเพิ่งกลับมาจากประเทศเยอรมันได้ไม่กี่วัน ( 13 วันเอง ) ยังปรับเวลาการนอนไม่ค่อยได้ กลางวันง่วงนอนแต่ต้องนั่งอ่านหนังสือ กลางคืนได้เวลานอน ก็ดันนอนไม่หลับ กว่าจะหลับก็เล่นเอาตอนรุ่งเช้า ตี5  6 โมง ทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน กว่าจะเคลิ้มหลับได้ก็ตอนตี 5 กว่า แต่ดันต้องตื่น 6 โมงเช้า โอ้ ( แต่ก็ตื่นไหว เพราะเนื่องด้วยจ่ายค่าสมัครสอบไปเรียบร้อยแล้ว 2,500 บาท ถ้าไม่ไปสอบ ก็เสียดายตังค์แย่น่ะซิ) ไปถึงสถานที่สอบประมาณเกือบ 8 โมง เราก็หาที่นั่งทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เราได้เรียนมา แต่ว่าอ่านไปท่องไปก็ไม่ค่อยเข้าหัวแล้ว เพราะมันใกล้ถึงเวลาสอบเข้าไปทุกที  การสอบแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ การฟัง การอ่าน การเขียน  และการพูด
                      ได้เวลาสอบ 9.30 น. เราสอบห้องที่ 2 อาจารย์คุมสอบ ดูท่าทาง เอ๋อๆ โหดๆ ยังไงบอกไม่ถูก ( เป็นอาจารย์คนไทยเชื้อสายจีน อายุน่าจะเยอะแล้วเนื่องจากมีผมหงอกพอสมควร เห็นคนบอกว่าชื่ออาจารย์ม... (ไม่พูดชื่อดีกว่า อิอิ)  ไม่แน่ใจว่าใช่หรือป่าว เพราะเราไม่เคยเรียนที่เกอเธ่ ) เมื่อคนสอบเข้าห้องครบ อาจารย์คุมสอบก็ทำการแจกข้อสอบ เรานั่งหลังสุด (เนื่องจากชอบเป็นการส่วนตัว อิอิ ) แอร์ก็จะไม่ลง  ก็จะได้ไม่หนาวมาก  แต่เราว่ามันออกจะซวยนิดๆ เพราะเวลาอาจารย์คุมสอบเปิดเทปให้ฟัง  เราฟังไม่ค่อยถนัดเลย เพราะว่าอยู่ไกล แถมลำโพงวิทยุ ก็ดันหันไปหาอาจารย์คุมสอบ (ไม่รู้เอาอะไรคิด ทำไมไม่หันลำโพงไปหาคนสอบ ปกติเราฝึกฟังด้วยการใช้หูฟังเสียบรูหู เพื่อจะได้ฟังชัดๆ เรายังฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แล้วนับประสาอะไรกับการฟังจากลำโพงไกลๆ เฮ้อ... สงสารตัวเองมาก อารมณ์นั้นอยากร้องไห้จรีงๆ  ) ปรากฏว่า การสอบฟังของเรา คงหมดหวัง ท่าทางจะได้คะแนนเพียงเล็กน้อย  เพราะเราทำข้อสอบด้วยการเดาซะเป็นส่วนใหญ่   ส่วนการสอบอ่าน เราคิดว่าเราทำได้ดี   การสอบเขียน  โจทย์ข้อสอบเขียน คือเราต้องการจะไปเที่ยวที่เบอร์ลินกับครอบครัว  ตามโจทย์จะต้องเขียนบอกราย ละเอียดว่า ไปกี่คน ไปเมื่อไหร่ ถึงเมื่อไหร่ ถามถึงราคาค่าที่พัก  เราคิดว่าเราทำข้อสอบเขียนได้ดีเช่นกัน แต่พอออกมานอก ห้องแล้วได้คุยกับคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าเราพลาดไปนิดนึงตรงที่จดหมายเป็นทางการต้องใส่ชื่อและนามสกุล ตรงท้ายจดหมาย แต่เราดันใส่แต่ชื่อ  เสียดายจัง แต่เพื่อนที่สอบห้องเดียวกัน ที่เค้าเรียนที่เกอเธ่บอกว่าคงโดนหักคะแนนเพียงเล็กน้อย ( ก็ขอให้เล็กน้อยจริงๆ ด้วยเถอะ)   มาถึงช่วงพักเบรค ต่อไปก็เป็นการสอบพูด
                         12.30 น. ได้เวลาสอบพูด เราเป็นคนสอบลำดับที่ 15 อยู่กลุ่มที่ 3 ( 1 กลุ่มมี 4 คน )   เราสอบพูดเป็นคนที่ 3  เริ่มการสอบพูดด้วยการพูดแนะนำตัวเอง บอกชื่อ นามสกุล  อายุ  มาจากไหน  พักอยู่ที่ไหน อาชีพอะไร งานอดิเรกคืออะไร  และก็ให้เราสะกด (แล้วแต่เค้าต้องการ ซึ่งอาจจะให้เราสะกด ชือ หรือ นามสกุล) นามสกุล และให้บอกหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งส่วนใหญ่ทุกคนในกลุ่มจะพูดได้หมด  ต่อไปก็เป็นการสอบพูดตั้งคำถามตามบัตรคำ ในแต่ละหัวข้อ กลุ่มเราได้หัวข้อ ร่างกายและสุขภาพ  (ซึ่งอาจารย์คุมสอบ (มี 2 คน ไทย และเยอรมัน ) คนไทยเป็นคนเลือก ) เราจับได้คำว่า rauchen  (คำแรกก็เป็นเรื่องเลย) ซึ่งเราจำได้ว่ามันแปลว่า สูบบุหรี่ เราก็ถามด้วยความมั่นใจว่า Sind Sie rauchen?  อาจารย์คุมสอบ ( ใยป้าคนเดิมที่คุมสอบช่วงแรก) บอกไม่ใช่ พูดใหม่อีกที  เราก็ยังดันทุรังและถามไปเหมือนเดิมอีก  เพราะจำได้ว่าศัพท์คำนี้มันแปลว่าสูบบุหรี่ เราต้องการถามว่า คุณสูบบุหรี่หรือไม่ ใยป้าคุมสอบก็ยังบอก ให้ถามใหม่อยู่นั่นแหละ เรางงมากว่าทำไมถึงผิด ทำไมถามแบบนั้นไม่ได้ ( ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว) เลยย้อนถามใยอาจารย์คุมสอบไปว่า คุณช่วยอธิบายหน่อยได้ไม๊คะว่าคำนี้คืออะไร มันแปลว่าสูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอคะ  (ในเวบส์ไซด์ไกด์ไลน์การสอบของเกอเธ่ บอกว่า ถ้าไม่เข้าใจความหมายของบัตรคำให้ถามความหมายกับผู้คุมสอบได้ เราก็เลยถามใยป้าคุมสอบไปแบบนั้น)  แต่ใยป้าดันไม่ยอมตอบ   กลับส่ายหน้าแล้วเอาบัตรคำคืนไป แป่ว!!! งง ทำไมใยป้าไม่ตอบวะ แล้วก็กลายเป็นว่าเราไม่ได้คะแนนในคำนี้ เพราะถือว่าตั้งคำถามไม่ได้   (สุดท้ายแล้วเราก็เลยต้องยอมรับคำตัดสินของใยป้าคุมสอบไปด้วยความงุนงง  พอสอบเสร็จ เรามาดูสมุดโน๊ตที่จดไว้ คำนี้มันแปลว่าสูบบุหรี่จริงๆด้วย  แต่ Sind Sie rauchen? มันแปลว่า คุณคือสูบบุหรี่ใช่ไหม ไม่ได้หมายความว่าคุณสูบบุหรี่หรือไม่ อืม พลาดไปนิดเดียว )  ต่อมาจับได้คำว่า Hotel  เราก็ตั้งคำถามว่า  Möchte Sie im Hotel  übernachten? แปลว่าคุณต้องการพักที่โรงแรมใช่ไม๊ (พูดจบก็ต้องมองหน้าใยป้าคุมสอบ ถ้าเขาไม่พูด noch einmal  (พูดใหม่อีกครั้ง) ก็แสดงว่าเราพูดถูกต้อง ก็จะได้คะแนนไป ปรากฏว่าใยป้าแกเงียบ เราก็เลยได้คะแนนคำนี้ไป ) แล้วก็วนมาที่เราอีกครั้ง เราจับได้ (รูปภาพ) คำว่า Formular เราก็ตั้งคำถามไปว่า  Könnten Sie mir bitte das Formular geben? แปลว่ากรุณาช่วยส่งแบบฟอร์มให้ดิฉันหน่อยค่ะ (ใยป้าคุมสอบเงียบอีก แสดงว่าเขาให้ผ่านเราก็ได้คะแนนไปอีก)
                             ในกลุ่มสอบพูดของเรานี้ ดูจะไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน  ตั้งคำถามกันไม่ค่อยได้ (เราพลาดน้อยสุดแค่ตั้งคำถาม คำว่าบุหรี่ไม่ได้คำเดียว นอกนั้นได้หมด อิอิ ) อาจารย์คุมสอบ ส่ายหน้าเอือมระอากลุ่มเราหลายต่อหลายครั้ง  เห็นแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าขำอะไร หรือขำใคร แต่ดูเหมือนรู้สึกสงสารในชะตากรรมของตัวเองและของเพื่อนๆ ในกลุ่มยังไงบอกไม่ถูก .... ตอนนี้ก็ได้แค่รอผลสอบ (ด้วยใจตุ๊มๆ ต้อม) ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ... รอ 3 วัน ก็แค่อึดในเดียวเน๊อ
ปล. ต้องขอขอบคุณน้องวัน ที่เอื้อเฟื้อหนังสือเรียนให้ ขอบคุณมากกกๆ นะค้าๆๆๆ  และก็ต้องขอขอบคุณ ติวเตอร์ส่วนตัว (คุณแฟน)  ( ที่บางครั้ง อธิบายลึกซึ้ง จนเรางุนงง  ) ที่แม้ยามงานยุ่ง ก็ยังเจียดเวลาอธิบายความหมายทุกครั้งที่ถาม  love you joob joob :)

ต้องท่องและจำให้ได้ทั้งหมด ... จำได้ไม่หมด แต่ก็เกือบหมด (แต่แหม มันเยอะนี่ ก็ต้องมีลืม ๆ กันบ้างละ)

ผลสอบออกแล้ว ได้ 88 /100 ^_^

กลับเมืองไทย ( ด้วยไฟรด์ น้อง ๆ นรก )

                      ได้เวลากลับเมืองไทยแล้วซินะ เช้าวันที่ 1 กันยายน 2554 เวลาประมาณเที่ยง เริ่มเดินทางไปสนามบินมิวนิค ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม.  ตอนออกจากบ้านอากาศดี๊ดี 24 องศา แต่พอขับรถไปสักพัก ฝนเริ่มโปรย และกลายเป็นตกหนัก แต่จนแล้วจนรอดก็มาถึงมิวนิค ที่สนามบินมิวนิคปกติแล้วไม่รู้ว่ามีกี่สายการบิน แต่เท่าที่ดูก็เห็นแค่ สายการบิน Lufthansa เท่านั้นที่ทำหน้าที่รับเช็คอิน อ้อลืมบอกไป เราใช้เวลาชั่งกระเป๋าเดินทางอยู่หลายรอบ(ชั่งเครื่องชั่งน้ำหนักที่บ้าน แฟน)เนื่องจากสัมภาระที่นำมาจากเมืองไทยก็เยอะอยู่แล้ว ประกอบกับเสื้อผ้า รองเท้าที่ซื้อเพิ่ม และของฝากอีก ปรากฏว่าน้ำหนักรวมแล้ว ประมาณ 30 กิโลกรัม แต่สายการบินเค้าให้แค่ 24 กิโลกรัม ทำยังไงละที่นี้ เราก็เลยต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมของแฟนเพื่อเป็นกระเป๋าที่สามารถนำ ขึ้นบินได้ ( ปรากฏว่าฉันต้องแบกกระเป๋าน้ำหนักเกือบ 5 กิโลกรัมไปทุกแห่งหน เซ็งจริงๆ )  หลังจากเช็กอินเรียบร้อย แฟนเราก็ดีจริงๆ อยากจะอยู่กับเราให้นานที่สุด ถึงขนาดไปขอร้องเจ้าหน้าที่สายการบินว่าขอไปส่งเราข้างใน แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เราสองคนก็เลยอยู่ข้างนอกจนถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเครื่อง แฟนเราก็เลยได้แค่มาส่งตรงบริเวณที่เค้าตรวจอาวุธ ว่าซุกซ่อนในกระเป๋าหรือร่างกายเราหรือไม่ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร )    ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องบิน ใช้เวลานานพอสมควร ไม่รู้เครื่องบินสายการบินอียิปต์แอร์ กัปตันขับหลงหรืออย่างไร ไม่มาซะที   แต่แล้วก็มาจนได้เราได้นั่งที่ติดทางเดิน ที่นั่ง 30 H ( Gate H 30 ที่นั่ง 30 H จำง่ายดี อิอิ ) เนื่องจากแฟนไม่สามารถจองที่นั่งริมหน้าต่างได้ ( ยังไม่เข็ด ยังอยากนั่งริมน่าต่างอยู่ ) เราก็นั่งเรียบร้อย สักพักมีวัยรุ่นชาวเยอรมันชายหญิงคู่หนึ่ง (เราเห็นพวกเขาตั้งแต่อยู่ใน Gate แล้ว น่ารักดี) เดินมาเราจำได้ก็เลยมอง น้องผู้ชายบอกกับเราว่า นั่นที่นั่นของผมครับ เรานึกในใจ มาบอกฉันทำไม  แต่นึกขึ้นได้ อ้อ เราต้องลุก   เราก็ลุกให้พวกเขานั่ง น้องผู้หญิงนั่งติดริมน่าต่าง และก็น้องผู้ชาย

                        เที่ยวบินนี้คนเยอะ เกือบเต็มลำเลยที่เดียว เรายอมทนไม่เข้าห้องน้ำเลย ตลอด 4 ชั่วโมง เพราะคนเข้าคิวเข้าห้องน้ำกันไม่ขาดระยะ  อ้อเกือบทะเลาะกับพวกอาหรับบนเครื่องซะแล้ว เนื่องจากเราจะปรับเบาะให้สามารถเอนหลังได้ แต่ดันมีคนเคาะไม่ให้ปรับ เพราะสามีของหล่อนตัวใหญ่ นั่งอยู่ด้านหลังเรา เราก็เออ เดี๋ยวรอดูคนอื่นก่อน ถ้าเค้าปรับได้ ฉันก็ต้องปรับได้ เสียเงินเท่ากันจะมาให้ฉันนั่งหลังตรงคนเดียว ฉันไม่ยอมอย่างน้อยก็ต้องเท่ากับน้องฝรั่งที่นั่งข้างๆ ฉัน  เราก็ค่อยๆ ปรับทีละนิด ๆ ให้เท่ากับน้องฝรั่ง  แต่ดูๆ แล้วก็ปรับเบาะกันได้แค่คนละนิด ละหน่อย เพราะที่มันแคบ ... ต้องทำใจ ไม่ได้ซื้อตั๋วเฟิรส์คลาสนี่ 

                        และแล้วก็ถึง ไคโร พอลงจากเครื่องบินก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆ พวกเขาเดินไปขึ้นรถบัส เราก็ขึ้นตาม แล้วรถบัสก็ขับวนมาจอดที่สนามบิน  และเราก็เดินตามชาวบ้านเขาไปประกอบกับมองป้ายว่าเราจะไปต่อเครื่องบินเพื่อ มาเมืองไทย เค้าไปทางไหน สุดท้ายก็งงค่ะ  บางคนเลี้ยวไปทางโน้น บางคนเลี้ยวมาทางนี้   และเพื่อความแน่ใจเลยถามเจ้าหน้าที่ เค้าก็ชี้ให้เราเข้าไปแผนกตรวจเอกสารอีกครั้ง  หลังจากตรวจเอกสารเรียบร้อย  แล้วเราก็ไปเข้าห้องน้ำ ( เนื่องจากอั้นมานาน)  การรอเปลี่ยนไฟรด์ครั้งนี้ใช้เวลานานมาก ตามโปรแกรมต้องบิน ประมาณ 23.30 น. แต่ไฟรด์ดันดีเลย์ ต้องรอต่อไปเรื่อยๆ ตอนแรกป้ายบอกแค่ ครึ่งชั่วโมง  พอสักพักไปดูป้าย เลื่อนไปเป็น 1 ชั่วโมง พอสักพักไปดูป้ายอีกที เลื่อนไปอีก เป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง ไอ้เราก็เริ่มหิวน้ำทำยังไงดี ไม่อยากซื้ออะไรกินหรอก เพราะรู้ว่าของแพง ประกอบกับไม่มีเงินสกุลที่คนอียิปต์เค้าใช้กัน แต่เอาวะ หิวน้ำมาก  ก็เลยไปหยิบขวดน้ำมา 1 ขวด บ้านเราก็ประมาณ 7 บาท เป็นน้ำธรรมดา ไม่ใช่น้ำแร่ เราก็ถือไปหาพนักงานแล้วบอกว่าน้ำขวดนี้ราคาเท่าไร แต่ฉันมีแต่เงินยูโร  ปรากฏว่าพนักงานชาวอียิปต์บอก 1 ยูโร ครึ่ง ฮ้า ฉันฟังผิดไปป่าวเนี่ย เท่าไหร่นะ ฉันถามอีกรอบ เค้าก็ตอบแบบเดิม เรานึก 1 ยูโร เท่ากับ 44 บาท  1 ยูโรครึ่ง ก็ 60กว่าบาท เออเก็บไว้กินเองเถอะ เราก็บ่นกับตัวเอง แต่ตั้งใจให้เค้าได้ยิน " แพง ไม่ซื้อแล้ว" แล้วก็ตั้งขวดน้ำไว้ตรงนั้นแหละ  คนเราสามารถขาดน้ำได้เป็นวันๆ นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าเราจะตายก็ให้มันรู้ไป แล้วก็เดินหาที่นั่งพัก โชคดีมีแอ๊บเปิ้ล และ ขนมปังไส้กรอกติดกระเป๋ามาด้วย ก็เลยช่วยประทังความหิวได้บ้าง ส่วนเรื่องน้ำ เราอมลูกอมรสมิ้นเอา ช่วยได้นิดนึง

                      รอแล้วรอเล่าก็ไม่เรียกให้เข้า Gate ซะที  (  Gate 08 ที่นั่ง 44 A ริมหน้าต่าง อิอิ สมใจ) เนื่องจากเครื่องดีเลย์ ทำให้ผู้โดยสารเสียเวลาทางสายการบินจึงมอบน้ำดื่มกระป๋อง เป็นการตอบแทน  ( เรานึกในใจ น่าจะให้น้ำดื่มตั้งนานแล้ว หิวน้ำจะแย่ )  และแล้วการรอคอยก็มาถึง เราก็ไปนั่งที่ของเราบนเครื่อง รอสักพักเหมือนผู้โดยสารทุกคนขึ้นเครื่องหมดแล้ว เราดีใจมากเพราะบริเวณที่นั่งเรา ซึ่งมีด้วยกัน 3 ที่นั่งนั้นว่าง อดคิดในใจไม่ได้ว่า โอ้ว ที่ตรงนี้เป็นของเราอีกแล้วเหรอเนี่ย จะได้นอนสบายอีกแล้วเหรอ ดีจริงๆ เลย  ( เรายิ้มกับตัวเอง)
                    
                    แต่แล้วความสุขของเราก็พังทลายเมื่อมีประชาชนชาวมุสลิมจำนวนมากมาย ขึ้นมาบนเครื่องจนเต็ม พวกเค้าเป็นคณะแสวงบุญ จากประเทศไทย และมาเลย์เซีย  มาอยู่อียิปต์ เป็นเวลา 1  เดือน วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาเดินทางกลับกันพอดี  ( อะไรจะเฮงได้ขนาดนี้ )  ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เราเป็นคนไทย  แต่เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสายการบินจึงอนุญาตให้เอากระเป๋าเดินทาง ล้อลากขนาดปานกลาง แต่น้ำหนักเยอะ ขึ้นเครื่องได้  (ไม่ได้ชั่งน้ำหนักหรืออย่างไร) เพราะพี่คนนั้นเค้าเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนที่ไว้กระเป๋าเหนือศีรษะไม่ได้ยก ไม่ไหว มันหนัก  เขาก็เลยขอร้องให้ผู้ชายฝรั่งผิวดำที่นั่งอยู่บริเวณนั้นช่วย ขนาดผู้ชายนะ แถมเป็นฝรั่งด้วย ยังยกประเป๋าพี่แกแทบไม่ไหว คิดดูเถอะแสดงว่าน้ำหนักมันต้องมากโขอยู่  

                 ตลอด 8 ชม. เราไม่ได้หลับเลย เพราะนั่งหลับไม่เป็น ประกอบกับแอร์คอนดิชั่นบนเครื่องบินก็ร้อน ( สันนิษฐานว่า คนมันเยอะ ก็เลยทำให้แอร์ไม่เย็น )   ดูหนังจบไป 2 เรื่อง ( ดูไปงั้นๆ ไม่ได้สนใจ แค่ฆ่าเวลา) เล่นเกมส์นิดหน่อย เพราะเป็นคนไม่ชอบเล่นเกมส์  เพลงบนเครื่องก็ไม่ได้เรื่องเลย มีหลากหลายประเภทจริง ทั้งคลาสสิค ร็อค  แต่เราไม่ชอบเลย  ดีนะเรามี MP 3  ช่วยเราได้มากที่เดียว   เนื่องจากคนบนเครื่องบินเยอะมาก  แต่พนักงานต้อนรับ มีแค่ 4 คน การบริการจึงเป็นไปด้วยความลำบาก  อาหารและเครื่องดื่มก็ได้ช้า  แต่ที่น่ารำคาญมากคือการเข้าห้องน้ำ เรายอมอั้น(อีกแล้ว) จนทนไม่ไหว และต้องจำใจเข้าเพราะห้องน้ำสกปรกมาก

                  หลายชั่วโมงผ่านไป (เราภาวนาให้ถึงกรุงเทพเร็วๆ ทีเถอะ กัปตัน ช่วยบินเร็วหน่อยได้ไม๊)  หลังจากพนักงานต้อนรับให้เปิดหน้าต่าง และเริ่มแจกอาหาร เราก็รู้ได้ว่า การรอคอยของเราใกล้สิ้นสุดแล้ว  หลังจากทานอาหารเรียบร้อย  เรามองหน้าต่างบ่อยมาก   พอเริ่มเห็นพื้นดินเรารู้สึกดีใจที่ได้กลับไทย  แต่รู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่จะได้พ้นจาก... ตรงนี้ซะที   และแล้วก็แลนด์ดิ้งด้วยความปลอดภัย


                 หลังจากเครื่องหยุดสนิท คนเริ่มลุก เราก็ลุกด้วยความรวดเร็วเพื่อจะได้ออกจากเครื่องให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาติดอยู่ที่ประตูไม่เปิด ผู้โดยสารต่างเอาสัมภาระของตัวเองออกจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ ทำให้ช่องทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่หอบสัมภาระพะรุงพะรัง  เราก็หงุดหงิดเพราะเครื่องดีเลย์ พี่สาว 2 คนที่มารอเค้าไม่รู้ว่าเครื่องดีเลย์ มารอกันตั้งแต่ 11 โมง ( กลัวรถติดเลยออกกันแต่เช้าเพราะตามแพลนต้องมาถึงไทย บ่าย 2 ครึ่ง แต่เครื่องดันถึง 4 โมง)  อารมณ์เริ่มหงุดหงิดประกอบกับมีป้าคนนึง ดันหลังเราให้ดิน เราก็เดินไม่ได้เพราะคนข้างหน้าไม่เดิน ป้าก็ดันอยู่นั่น จนเราเริ่มโมโห ก็เลยหันไปพูดเป็นภาษาอังกฤษกับป้าคนนั้นว่า หยุดดันหลังฉันเดี๋ยวนี้  ดูข้างหน้านี่ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่ มันเดินไม่ได้  ใยป้าแกก็เลยหยุดดัน  ... แต่หลังจากพูดไป ในใจก็คิด ป้าแกจะฟังออกไม๊นะ เค้าอาจจะเป็นคนไทย หรือมาเลย์เซีย แต่ดูแล้วป้าไม่น่าเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ที่แกหยุด คงเป็นเพราะน้ำเสียงและสีหน้าของเรามากกว่า เพราะหน้าเราบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด (ตามสไตร์คนใส่หน้ากากไม่เป็น อารมณ์เสียจะมาให้ยิ้ม ทำไม่ได้)

               และแล้วก็ออกมาจากเครื่องบิน จนได้ เราก็จัดแจงไปรับกระเป๋าเดินทาง ก็มาเจอปัญหาอีกจนได้ เนื่องจากเที่ยวบินที่มาเนี่ยมีประชาชนชาวมุสลิมเยอะมาก กระเป๋าเดินทาง ( อาจจะเรียกว่าถุงปุ๋ยเดินทางก็ได้ เพราะบางคนใช้ถุงปุ๋ยจริงๆ นะ พันเชือกรอบๆ ป้องกันคนแกะ  ) เยอะมาก เราก็รอ... เกือบ 1 ชม. ก็ไม่มีวี่แววของกระเป๋าเดินทางเราซะที ... รอจนกระเป๋าเดินทางหมด ก็ไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา  (เอาอีกแล้ว สารพันปัญหารบกวนใจ) เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ว่า เรารอกระเป๋าเดินทาง แต่ไม่มีมา ช่วยเช็คหน่อยได้ไม๊  น้องพนักงานสายการบินอียิปต์แอร์ก็ช่วยดำเนินการให้ ปรากฏว่าไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา น้องเค้าก็เลยทำเรื่องติดตามเพราะกระเป๋าเดินทางเราอาจจะตกค้างที่ไคโร หรือไปกับเที่ยวบินที่จะไปมาเลเซีย ( ยังต้องส่งประชาชนมุสลิมชาวมาเลย์เซียอีก)   ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วจะติดต่อมาหาเรา  เราก็เซ็ง   เดินไปหาพี่สาว 2 คนที่มารอรับ  ....  เป็นเที่ยวบินที่เรียกได้ว่า น้องๆ นรก ก็ว่าได้

ชีวิตในเยอรมันของฉันตอนนี้

             ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เกือบๆ เดือนนึงแล้ว ชีวิตของเราตอนนี้เรียกได้ว่าพักผ่อนอย่างแท้จริง   วันๆ แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน    งานหลักที่ต้องทำเป็นประจำหลังทานอาหารเช้านั่นก็คือ การเปิดคอมพิวเตอร์ และหน้าแรกของการออนไลน์แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหน้า Home ของเราเลยก็ว่าได้นั่นก็คือหน้า เฟซบุค    และก็คาหน้านั้นไว้ตลอด   จนกระทั่งถึงเวลาปิดเครื่องคอมพิวเตอร์    ซึ่งโดยปกติแล้วเฟซบุคก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยในแต่ละวัน   นอกจากนานๆ จะมีประเด็นของเพื่อนบางคนให้คอมเมนท์อย่างประปราย   แต่สิ่งที่ทำเป็นประจำนั่นก็คือ การดูรูปของเพื่อนๆ ที่โพสท์ไว้ตามโพรไฟด์ของตนเอง  เพื่อนๆ หลายคนมีรูปให้ดูอย่างมากมาย เรียกว่าดูกันไม่หวัด ไม่ไหว จนต้องเก็บเอาไว้ไปดูวันอื่นๆ ... บางครั้งก็ทำให้เราสงสัย  คนที่เป็นตากล้อง เค้าจะบ่นบ้างไม๊นะ รูปหนึ่งสถานที่ ถ่ายเป็นสิบๆ ช็อต ... อืม น่าเหนื่อยแทนตากล้องจริงๆ

          ส่วนงานรองของการใช้ชีวิตที่นี่นั่นก็คือ การทำอาหารให้คุณชาย (แฟนเราเอง) ทุ้กวัน โดยอาหารเช้าของท่านจะเป็น ช็อกโกแล็ตร้อนบ้าง เย็นบ้าง แล้วแต่ท่านต้องการ (อันนี้ต้องถามคุณชายทุกวัน ว่าท่านอยากทานแบบไหน)  ส่วนอาหารประกอบในมื้อเช้า เราจะเชิญคุณชายหารับประทานเอาเองตามอัธยาศัย เพราะว่าไม่รู้ใจท่าน บางวันท่านก็ทานมัฟฟิน บางวันท่านก็ทานขนมปัง ขนมปังก็มีหลากหลายแล้วแต่ท่านละกันว่าจะเลือกรับประทานแบบใด   แยมก็ช่นเดียวกัน เชิญท่านไปหยิบเองเพราะไม่ทราบว่ารสชาดใดที่ท่านต้องการ   ซึ่งแยมส่วนใหญ่ที่นี่ทำมาจากผลไม้เมืองหนาว พวกเชอรี่ สตรอเบอรี่ ลาสเบอรี่ เป็นต้น  ส่วนอาหารเช้าของเรานั้น ขึ้นอยู่กับความอยากในแต่ละวัน บางวันก็ทานแบบไทยๆ (พวกข้าวต้ม หมูหยอง ฯลฯ ) บางวันก็แบบฝรั่ง ( ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก ฯลฯ )

         มื้อกลางวัน เมนูส่วนใหญ่ที่เราทำก็จะเป็นอาหารไทย เพราะแฟนบอกว่ามันเฮลตี้ และดีต่อสุขภาพ เมนูหลักของเราตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั่นก็คือ แกงเขียวหวานไก่  ต้มยำทะเล  แกงจืด  ไข่เจียว และ ผัดผัก (ก็เราทำอาหารเป็นไม่กี่อย่างเองนี่ อยู่เมืองไทยก็กินกับครอบครัว หรือไม่ก็ซื้อกินเอา) แต่หลังๆเราเริ่มหาเมนูจากอินเทอร์เน็ตแล้ว เผื่อจะมีเมนูง่ายๆ ที่เราพอจะทำได้ แต่ต้องไม่ใช่อาหารที่มีเนื้อสัตว์มากๆ หรืออาหารทอด เพราะคุณชายเค้าไม่ค่อยชอบ เค้ารักสุขภาพ ไม่กินเนื้อสัตว์เยอะ และไม่กินของทอด ของมัน ... โชคดีที่เมืองที่เราอยู่ ( Nurnberg ) มีร้านขายของเอเซียอยู่หลายร้าน แฟนก็พาเราไปเลือกซื้อสิ่งที่เราต้องการ ( ก็เพื่อนำมาทำอาหารไทยให้คุณชายทานเองนั่นแหละ)  ซึ่งแต่ละเมนูเครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ ( โชคดีแฟนเราเป็นฝรั่งกินง่าย และก็ไม่รู้หรอกว่า อาหารที่เราปรุงนั้นมีเครื่องปรุงครบไม๊ หรืออรอ่ยรึเปล่า เห็นถามทีไร เค้าก็ตอบว่า เรา good cook ทุกที   แต่เราก็ว่าอาหารที่เราทำมันก็อร่อยดีนะ แม้ว่าบางครั้งรูปลักษณ์จะออกมาไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ ดูจืดๆ ไม่ค่อยมีสีสัน ยังไงบอกไม่ถูก  แต่รสชาดก็โอเคนะ และที่สำคัญเราและแฟนก็ท้องไม่ร่วง ยังคงมีความสุขกันดี ฮาาา

         มื้อเย็น  ส่วนใหญ่จะกินอาหารที่เหลือจากมื้อกลางวัน ( เช่นแกงเขียวหวานหรือต้มยำ ก็จะทำเป็นหม้อ เผื่อไว้เป็นมื้อเย็นด้วย จะได้ไม่ต้องทำ หลายหน แค่อุ่นให้ร้อนก็กินได้เลย ) และก็ผัดผักเพิ่ม (เพราะผัดร้อนๆ อร่อยกว่า ) แต่ถ้ามีโปรแกรมออกไปข้างนอก  ก็ไปกินมื้อเย็นข้างนอกกัน   แฟนเรามักจะพาเราไปพบปะผู้คนที่สร้างกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อพบปะสังสรรค์กันใน ตอนค่ำ เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเพื่อทานอาหารค่ำร่วมกัน ... เราแปลกใจทำไมต้องสร้างกลุ่มกันขึ้นมาใหม่ ทำไมไม่ไปกินอาหารกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงานเหมือนที่คนไทยทำ    คำตอบที่ได้ก็คือ คนบางคนก็ทำงานที่บ้าน ( เหมือนแฟนเรา )ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเพื่อพูดคุย หรือเจอคนใหม่ๆ   บางคนก็อยากจะคุยกับคนแปลกหน้าเพื่อหาเพื่อนใหม่ หรือบางคนก็ไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน (ถ้าไปกับเพื่อนร่วมงานก็คงหนีไม่พ้นหัวข้อการสนทนาเรื่องงาน เจ้านาย  เป็นต้น) หรือบางครั้งก็นัดกันมาเพื่อคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ  และอีกหลายๆ เหตุผล ซึ่งเราก็ว่าเป็นสิ่งที่ดีของการจัดกลุ่มแบบนี้ ( แต่เป้าหมายหลักที่ทำให้เราอยากมาเจอคนข้างนอกบ้านนั่นก็คือได้ไปกินมื้อ เย็นนอกบ้านนั่นเอง)

        ดิน ฟ้า  อากาศ  ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่นี่ แม้ว่าฝนจะตก แดดจะแรง หรือว่าหนาวสักแค่ไหน ดูเหมือนคนที่นี่พร้อมรับมือกับทุกสถานะการณ์  และไม่แคร์กับสภาพดิน ฟ้า อากาศ เอาเสียเลย (ความคิดเรานะ ถ้าพวกเค้าแคร์ ดิน ฟ้า อากาศ ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันเลย เพราะอากาศ ที่นี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางวันหนาวเชียว 16 องศา พอตอนสายๆ  ร้อนและ 25 องศา พอค่ำๆ ฝนตกอากาศเย็นลงเหลือ 14 องศา  เรียกว่า เสื้อผ้า 3 ฤดู ต้องเตรียมพร้อมใช้ในตู้กันเลยทีเดียว ) ดูได้จากการที่ร้านอาหารที่มีที่นั่งแบบ OpenAir มีลูกค้านั่งจิบเบียร์ เต็มแทบทุกร้าน ทุกคนต่างใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ  เพราะอากาศหนาวถึง 14 องศา (ถ้าเป็นเรา นั่งจิบเบียร์หรือ นอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่มานั่งทนหนาว ลมพัด โชยแบบนี้หรอก)  บางคนก็ยังทานไอศครีม ( หนึ่งในหลายๆคนที่ทานไอศครีมในช่วงอากาศ อุณหภูมิ 16 องศา  ก็คือเรา  อิอิ แต่มันเย็นชื่นใจจริงๆ นะ ทานเสร็จก็มานั่งหนาวยะเยือกในรถ ไม่รู้ทรมานตัวเองทำไม) แต่ดูเหมือนว่าเมื่อไหร่ที่ฝนตกแรงๆ ก็ดูจะมีอิทธิพลสร้างความเดือนร้อนให้ชาวเยอรมันอยู่บ้างเหมือนกัน  เพราะทำให้ลูกค้าน้อยลง และร้านอาหารต่างๆต้องเลื่อนเวลาปิดเร็วกว่าเวลาปกติ    พูดถึงร้านอาหารทำให้นึกถึงร้านค้า  ร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่คล้ายๆ กับ โลตัสเอ็กซ์เพรสของบ้านเรา  คือไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีบ้างที่เป็นร้านค้าใหญ่ๆ  ในร้านค้าก็จะมีของขายเกือบทุกอย่างที่จำเป็นแต่ไม่มีให้เลือกแบรนด์มากนัก ส่วนเสื้อผ้าขายบ้างนิดหน่อย  (น้อยมากแทบไม่มีให้เลือก) แต่ถ้าเป็นจำพวกผักสด ผลไม้สด  ควรซื้อที่ร้านที่ขายเฉพาะผักและผลไม้สดจะดีกว่า เพราะมีให้เลือกหลากหลายกว่าและสดกว่าด้วย  ร้านค้าเหล่านี้จะปิดเวลา 2  ทุ่ม และปิดวันอาทิตย์ด้วย ถ้าไม่ซื้ออาหารเตรียมไว้สำหรับวันอาทิตย์ ก็อาจจะหิวตายได้ ( อันนี้เราเว่อร์เอง)   ถ้ามีเงินก็ไปหาร้านอาหารทานได้เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เค้าเปิดให้บริการวัน อาทิตย์กัน  แต่คงเป็นเฉพาะร้านอาหารที่อยู่ในเมืองเท่านั้น


         ร้านเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ   ในตัวเมือง Nurnberg เขาจะมีเป็นแหล่งช้อปปิ้งตลอดเส้นถนน  แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็จะปิดวันอาทิตย์  เรียกได้ว่าวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปซื้ออะไร เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมด ( ฮืออออ แฟนพาเราเข้าเมืองทีไรเป็นวันอาทิตย์ทุกทีเลย ร้านค้าก็ปิดหมด.... มีตังค์แต่ไม่มีวาสนา ว่าอย่างงั้น)    มันเป็นเหมือนโชว์รูมตาม ห้างใหญ่ๆ ของบ้านเรา  แต่นำมาตั้งไว้ริมถนนให้เลือกช้อปกันอย่างจุใจ  แต่ว่าเงินในกระเป๋าคุณก็ต้องมีเยอะด้วยนะ  เรียกได้ว่าสินค้าแบรนด์เนม หรือ โนเนม ( เราไม่รู้จักแบรดน์นี้ ถือว่าโนเนมหมด ) ต่างก็มีราคาแพงเอาการอยู่เหมือนกัน  ราคาต่ำสุดคงประมาณ 250 บาทขึ้นไป (อาจจะเป็นถุงเท้า)  เสื้อผ้าทั่วไปพวกเสื้อยืดก็ตัวละ 1,250 บาทขึ้นไป ซึ่งก็แล้วแต่แบนรด์     เราเจอร้องเท้าแตะหนีบแบบธรรมดาราคาประมาณ 29 บาทที่เมืองไทย   แต่มันดันเป็นแบรนด์เนม เลยคู่ละเกือบ  2,100 บาท   โอ้วแม่เจ้า ไว้เป็นเศรษฐีนีก่อนนะแล้วจะถอยเอาไปใส่  ฮาาา

เที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ

              เช้าวันแรกที่เยอรมัน ดันตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก็เพราะด้วยความที่ร่างกายยังคงตื่นนอนตามเวลาปกติเหมือนตอนที่อยู่เมือง ไทย   เราก็พยายามนอนต่อจนกระทั่งหลับไปอีก   ตื่นมาอีกที่เกือบ 9 โมง    ความรู้สึกหลังจากตื่นนอน เหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดช่วงฤดูหนาว ยังไงยังงั้น อากาศที่นี่เย็นไปสักนิด  สำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา  ประมาณ 20 องศาต้นๆ เสื้อผ้าที่เอามาก็ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน ( ก็คุณแฟนคนดีของเราน่ะซิ บอก " ยูมาเยอรมันช่วงซัมเมอร์ อากาศจะร้อน เอาเสื้อผ้าที่ยูใส่ที่เมืองไทยนั่นแหละมา ไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าหนาๆ ให้เปลืองเงิน " เสื้อผ้าหนาๆ ที่เราเอามาก็มีแค่แจ็คเก็ต 2 ตัว และแจ็คเก็ตยีนส์อีก 1 ตัวเท่านั้น)

               อาหารเช้ามื้อแรกของเรา  ช็อกโกแล็ตร้อน ขนมปัง 1 ชิ้น ทาทั้งเนยและแยม ไส้กรอก 2 อัน และไข่ดาว (กินอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน)  หลังจากอิ่มหมี พลีมัน ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย สายๆ อีกสักนิดก็เตรียมตัวไปเที่ยวข้างนอกเพื่อไปดู Bad Windsheim ( Open Air Museum) หรือพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ (อันนี้เราตั้งเองทำไมถึงตั้งชื่อนี้อ่านไปเรื่อยเดี๋ยวก็จะรู้เอง อิอิ )  อากาศตอนสายๆของวันนี้สดใส แดดไม่จัดมาก และไม่หนาวเหมือนตอนเช้า สามารถใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนสั้นได้อย่างสบายๆ (แต่ว่าเราก็ยังไม่วายที่จะทาครีมกันแดด  เพราะเนื่องจากเราเห็นแฟนทาครีมกันแดดที่หน้าผาก  เราเลยทาบ้าง แต่ทาทั้งตัวเลย อิอิ   ... จริงๆ แล้วไม่กะจะทาครีมกันแดดหรอก เพราะคิดว่าแดดเมืองนอกไม่หน้าจะทำให้ดำได้ แต่ผิดคาดค่ะ  ทั้งๆ ที่เราทาครีมกันแดดแล้วแต่สีผิวเราก็ยังไม่วายจะคล้ำลง  กะว่าจะมาชุบตัวขาวที่เมืองนอกซะหน่อย  ฮือออ ) เมื่อไปถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์ มันเหมือนเป็นงานเทศกาล เพราะคนเยอะมาก มีทั้งมาเป็นกลุ่ม มาเป็นครอบครัว จูงลูกจูงหลาน ลูกเด็กเล็กแดง (นอนอยู่ในรถเข็นแบเบาะก็ยังพากันมา) รวมทั้งคนแก่คนเฒ่า หลายๆคนจูงสุนัขมาเที่ยวด้วย เรียกว่ามางานเดียวสนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัว

             ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นการแสดงบ้านแบบต่างๆ ของชาวนา คนปั่นด้าย คนตีเหล้ก คนสานตระกร้า เป็นต้น ซึ่งก็คือพวกเกษตรกรนั่นเอง     บ้านส่วนใหญ่จะสร้างจากปูนซีเมนต์ ซึ่งผนังมีความหนาพอสมควรเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว  ลักษณะบ้านถ้าดูจากภายนอกจะเป็นบ้านหลังคาทรงสูงและกว้าง เหมือนเป็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ แต่ความจริงแล้ว บริเวณหลังคานั่นแหละ คือชั้นบนของบ้าน    พื้นบ้านชั้นบนของบ้านบางหลังก็สร้างด้วยปูนซีเมนต์      บางหลังก็สร้างด้วยไม้  ซึ่งแบ่งเป็นห้องๆ  ส่วนใหญ่จัดเป็นห้องนอน ตลอดจนห้องนั่งเล่น   ส่วนชั้นล่างของบ้านจะสร้างด้วยปูนซีเมนต์  ซึ่งแยกกันเป็นห้องๆ อย่างเป็นสัดส่วน    ห้องหนึ่งไว้สำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการทำงานเกษตร เช่นจอบ เสียม ตลอดจนอุปกรณ์พวก บังเหียนม้า เกือกม้า เป็นต้น  ส่วนห้องอื่นๆ ก็เป็นห้องครัว  เป็นห้องน้ำ   ....   หลังคาของบ้านส่วนใหญ่มุงด้วยกระเบื้อง แต่บางหลังมุงด้วยฟาง( มันดูเหมือนฟางแห้ง หรือไม่ก็เป็นหญ้าแห้งต้นใหญ่ๆ ) ทุกห้องล้วนมีฮีทเตอร์  เพื่อสร้างความอบอุ่น ในช่วงฤดูหนาว แต่แปลกใจตรงเตียงนอน ทำไมมันสั้นและแคบจัง ดูแล้วไม่น่าจะนอนสบาย ( คำตอบจากแฟนก็คือ ในอดีตคนส่วนใหญ่รูปร่างไม่สูงใหญ่เหมือนในปัจจุบัน ประกอบกับเค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงาน นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเตียงใหญ่  นุ่มสบายเหมือนเตียงนอนของคนยุคปัจจุบัน ) เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ล้วนทำจากไม้เป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบัน แต่ดูจะแข็งแรงทนทานมากกว่า เพราะทำจากไม้ทั้งชิ้น อ้อ ส่วนของบ้านที่เป็นไม้ มักจะใช้ไม้ทั้งดุ้น เหมือนซุงผ่าซีก และก็สอดเข้าด้วยกัน เพราะไม่ค่อยเห็นน็อต หรือตะปู จะมีบ้าง ก็จะเป็นน็อตหรือตะปูไซด์ใหญ่มากๆ แต่ก็แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเพื่อยึดบ้านไว้ให้อยู่ทรง  นอกจากนั้น ยังมีการแสดงโชว์การทอผ้าจากขนสัตว์  การสานตระกร้า การตีเหล็ก การหมักวาย  เป็นต้น ให้เราได้เดินชมกันอีกด้วย  ตลอดจนการแสดงกลางแจ้ง สับเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ     ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงดนตรี ของเด็กๆ แต่ฝีมือไม่เด็กนะคะ เค้าแสดงกันจริงๆ จังๆ เลยทีเดียว มีคณะออเครสต้าเด็กอยู่คณะหนึ่ง กำลังทำการแสดงกันอยู่ดีดี  ฝนก็ดันตก ผู้ชมต่างหลบฝนตามชายคาของบ้านที่อยู่บริเวณนั้นๆ   แต่พวกเด็กๆ เหล่านี้ ก็ยังคงแสดงต่อไปไม่หยุด ( หรือว่าคุณครู ผู้ควบคุมวงที่ทำหน้าที่เป็นคอนดักเตอร์  ไม่ยอมให้หยุดก็ไม่รู้ )

                เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกับการตระเวณดูบ้านหลังโน้น หลังนี้ เราก็เริ่มหิว เริ่มมองหาของกินก็ไปเจอร้านขายอาหาร ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่คนซื้อเข้าคิวรอกันเป็นแถว เพราะมันสะดวก ไม่ต้องนั่งกินเหมือนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑ์    สามารถซื้อและถือเดินกินได้เลย    มันคล้ายกับฮอทดอก    แต่ไส้กรอกนั้นยาวเลยขนมปังไปเยอะมากกก  ( เราปรารถนามานานแล้วอยากได้ฮอทดอก แบบนี้ เพราะเวลาซื้อฮอทดอกที่เมืองไทย ไส้กรอกมันอันเล็กกินไม่สะใจ กินไส้กรอกที่นี่สะใจมากกว่า )   ส่วนซอสขวดปั๊มก็มีให้เลือกแค่ 2 ขวด ขวดหนึ่งคือซอสมะเขือเทศ อีกขวดคือมัสตาด   แต่เราใส่แค่ซอสมะเขือเทศเพราะไม่ชอบกินมัสตาด ส่วนไส้กรอกที่ใส่นี่ไม่เหมือนไส้กรอกของบ้านเรานะ  เพราะมันเป็นไส้กรอกสด แล้วเอามาย่าง รสชาดก็ต่างกันด้วย (เราชอบรสชาดไส้กรอกที่เมืองไทยมากกว่า ) แต่ก็กินจนหมด (ไม่รู้เพราะความหิว หรือ อร่อย)  ระหว่างยืนกินเกือบเสร็จ  ฝนก็ดันมาตก  เราก็เลยไปไกลจากร้านขายฮอทดอกนี้ไม่ได้ และฝนก็ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตกลงมาเป็นลูกเห็บ ( ก้อนน้ำแข็งกลมๆ เล็กๆ) อากาศตอนนั้นหนาวมากประกอบกับเราไม่ได้เอาแจ็คเก็ตไปเลย เพราะไม่คิดว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ คาดว่าต้องกลับไปป่วยที่บ้านแน่ๆ ( แต่ก็ไม่ยักกะป่วยแฮะ  หรืออาจเป็นเพราะอากาศที่นี่เค้าดี ฝนที่ตกลงมาจึงไม่ค่อยสกปรกมาก  ไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทยแค่โดนละอองฝนนิดเีดียว ก็ไม่สบาย บางครั้งกินยาก็ไม่หาย   ต้องไปหาหมอกันเลยทีเดียว )  ยืนรอบริเวณร้านขายฮอทดอกนานเกือบชั่วโมง จนฝนเริ่มซา คนเริ่มเดินลุยฝน เราก็ลุยบ้าง  อากาศตอนนั้นหนาวมาจนกทนไม่ไหว พวกเราจึงพาไปหลบในบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น   สักพักฝนก็ตกลงมาอีก  แม้ว่าฝนตกหนัก และอากาศจะหนาวเย็นจนยะเยือกหัวใจ (ของคนเอเซียอย่างเรา) แต่เมื่อเดินเข้าไปในบ้านร่างกายเรารู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาทันที  ทั้งที่บ้านไม่ได้เปิดฮีทเตอร์  เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน เสียงฝนตกหรือเสียงคนพูดคุยจากภายนอก ก็แทบจะไม่ได้ยินเลยเนื่องจากปิดหน้าต่าง  ( คนยุโรปเค้าสร้างบ้านได้อย่างมั่นคง และป้องกันผู้อยู่อาศัยให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ  )

               หลังจากฝนหยุดตกอารมณ์ของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ก็หมดลง  ด้วยความคิดที่ว่าบ้านแต่ละหลังก็สไตล์เดียวกัน แต่เราว่าเหตุผลที่เราหมดสนุก น่าจะเป็นเพราะความหนาวมากกว่า   เพราะพอเราเดินพ้นประตูบ้านเท่านั้นแหละ ตัวชาเลย ความหนาวกลับมาอีกแล้ว ประกอบกับเสื้อผ้า และผมที่ชื้นจากการเปียกน้ำฝนด้วย  เลยบอกแฟน กลับบ้านดีกว่า ไม่อยากดูแล้ว  แฟนก็พากลับ  ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน อากาศในรถทำให้เราอุ่นขึ้น อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้น  ก็เลยพากันตระเวณเที่ยวที่อื่นต่อ ส่วนใหญ่คงเป็นการพาดูทิวทัศน์ของบ้านเมืองแถบนั้น และที่ขาดไม่ได้คือการพาเราเข้าไปดูภายในโบสถ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ( ก็คล้ายๆ วัดในเมืองไทยซึ่งมีให้เห็นกันทุกที่) โบสถ์ที่นี่ก็มีลักษณะคล้ายๆ กันต่างกันตรงความสวยงามของปฏิมากรรม ภาพวาด รูปปั้นต่างๆ ความเก่าแก่ และความใหญ่โตของแต่ละโบสถ์   เมื่อเข้าไปด้านในจะไม่ค่อยมีแสงไฟ จะมีก็แค่แสงเทียน และแสงจากภายนอกส่องผ่านกระจกของโบสถ์ ซึ่งทำให้โบสถ์ดูจะสลัวๆ ทำให้ถ่ายรูปยาก กล้องดิจิตอลของเราก็เป็นกล้องแบบพื้นๆ ถ่ายไม่ค่อยชัด ไม่สวยสักเท่าไหร่ (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีกล้องเสียเลย   เพราะเราคงไม่สามารถเก็บความทรงจำได้ทั้งหมด มีภาพไว้ดู  ถึงมันจะไม่ชัดมาก แต่ก็สามารถช่วยนรื้อฟื้นความทรงจำ  ในช่วงเวลานั้นๆ ของเราได้เหมือนกัน  ... อันนี้พูดปลอบใจตัวเอง  )





วันแรกในเยอรมัน

           หลังจากเจอแฟน กุ๊กกิ๊ก ต้อนรับกันที่สนามบินแป็บนึง ก็เดินมาที่รถเพื่อเดินทางไปบ้านแฟน ที่ Nurnberg  ( ระหว่างที่เดินมาที่รถแฟนก็ลากกระเป๋าเดินทางของเราอย่างถูลู่ถูกัง (สงสัยจะหนัก) จนเราต้องบอก นี่คุณ ลากกระเป๋าเดินทางของฉันดีๆ หน่อยซิคะ ( เพราะอารมณ์ฉุนตั้งแต่เห็นกระเป๋ามีรอยขูดขีด จากพนักงานโหลดของสายการบินแล้วไง ) เขาก็พยายามจะลากให้ดีแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่ากระเป๋าเดินทางของเรามันจะเสียศูนย์จากน้ำมือของพนักงานโหด เอ๊ย โหลดไปแล้ว ฮืออออ

           ระหว่างทาง เค้าพาไปเที่ยวเมืองๆ นึง Greding  สวย สงบ และสะอาด  อ้อด้วยความที่เรารบเร้าเค้าให้ซื้อโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปชัดๆ ให้ แต่พี่แกก็บอกเหตุผลว่า ไม่มีกล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์มือถือเครื่องไหนชัดหรอก เราก็เลยเปลี่ยนเป็นขอกล้องถ่ายรูปละกัน เค้าก็บอกเหตุผลอีกว่า เราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน แล้วจะเอากล้องถ่ายรูปไปทำไม ( มันก็จริงแหละ ) สุดท้ายเค้าก็ซื้อกล้องดิจิตอลมาให้เป็น welcome gift  ( น่ารักจริงๆ ) อิอิ เราก็เลยมีกล้องถ่ายรูป พี่แกก็ชาร์ตแบตมาเรียบร้อย สามารถถ่ายรูปได้เลย  เราก็เลยจัดการมอบตำแหน่งตากล้องให้ซะเลย  ตอนกล้องอยู่ในมือเรา อารมณ์อยากจะถ่ายแทบทุกซอก ทุกมุม ถนนทุกสาย บ้านทุกหลัง เลยก็ว่าได้ เพราะมันแปลกไปหมดสำหรับเรา ( มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับเวลาคนดอย มากรุงเทพครั้งแรกแน่ๆ ) ขนาดเจอคนจูงสุนัขเดินเล่น เรายังอยากจะถ่ายรูปสุนัขเลย ( อ้าวก็มันเป็นสุนัขเยอรมันนะ ยังเถียงกับตัวเองในใจ .. เออ เป็นเอามากนะเนี่ยเรา )


           แต่สุดท้ายถ่ายไปแค่ไม่กี่รูป  เพราะกลัวเค้าจะว่า บ้าเห่อ  และก็กินไอศรีม อากาศก็หนาวเย็น แต่คนที่นี่ก็ยังนิยมกินไอศครีมกัน (แต่กินไอศครีมตอนอากาศเย็นๆ นี่มันสดชื่นและอร่อยกว่ากินตอนอากาศร้อนจริงๆ นะ ... ความรู้สึกนี้คงแล้วแต่บุคคล)

          และแล้วก็กลับถึงบ้าน จัดสัมภาระ เสื้อผ้า ของใช้ ของกิน ให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย  เวลานั้นประมาณ บ่าย 4 โมง แฟนก็บอก โทรกลับบ้านไม๊ ที่บ้านจะได้ไม่เป็นห่วง  ประทับใจเขาจังเลย เรื่องเล็กๆ แบบนี้ เค้ายังใส่ใจ และคิดได้ก่อนเราซะอีก ( เค้ารู้ว่าเราเป็นลูกคนเล็ก ที่บ้านห่วง และไม่เคยไปไหนไกลๆ )  เราก็เลยจัดการโทร.หาพี่สาวคนรอง  ว่าเราถึงเยอรมันโดยสวัสดิภาพ พี่สาวก็สบายใจ เพราะพี่ๆ หลายคนนอนไม่หลับด้วยความเป็นห่วง  พี่สาวคนนึงถึงกับนอนรอฟังเสียงเครื่องบิน (เป็นเอาหนัก แต่ก็รู้สึกซึ้งใจถึงความห่วงใยของเขา)


              ประมาณ 6.30 น. ของเยอรมัน แฟนก็พาไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนเค้า ที่ร้านอาหาร Greek  เราก็ไป เพราะไม่เคยกินอาหาร Greek มาก่อน ( อย่าว่าแต่เลี้ยงอาหาร Greek เลย Thai ,Chineses, Japanese .....  หรือ ลาว ถ้าฟรี ก็กินทั้งนั้น อิอิ ) เราสั่งซีฟู้ด ( again ชอบ ซีฟู้ด ) เสิร์ฟ คู่กับสลัด และ มันฝรั่ง  อาหารส่วนใหญ่ก็เห็นจะเป็นประเภททอด ย่าง  และ อบ อย่างเมนูของเราเป็นซีฟู้ดชุบแป้งทอด ก็อร่อยดีนะ แต่แป้งที่เค้าชุบทอดน่ะ เค็มไปนิด กินไปเรื่อยๆ ชักไม่ไหวกับความเค็ม ประกอบกับจานใหญ่ด้วย (ยังกับสำหรับกิน 3 คน)  เราเป็นคนกินน้อย ( แต่กินบ่อย )  กินไม่หมด  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เชื้อแบคทีเรีย อีโคไล ระบาดพอดี แฟนก็จะไม่ให้กินผักสด  เราก็เลยไม่ได้กินสลัดจานนั้น  แต่ก็เห็นบางคนเค้ากินนะ  เครื่องดื่มของเราก็คือ โค้ก (เพื่อความแน่ใจในรสชาด โค้กไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็คงจะมีรสชาดโค้กแน่นอน ) อ้อ ที่นี่(เยอรมัน)เครื่องดื่ม พวกน้ำอัดลม ราคาเดียวกันกับเบียร์เลย แปลกจัง อุตส่าห์แซวแฟน " ยูนี่โชคดีจังที่มีแฟนไม่ดื่มเบียร์ ไม่งั้นยูคงต้องเสียเงินมากขึ้นเพราะค่าเบียร์ " พี่แกตอบกลับ " น้ำอัดลมราคาเดียวกันกับเบียร์" แป่วววว เราก็เลยหน้าแตก

        ระหว่างที่เค้าสนุกสนานกับการสนทนา  เฮฮา ปาร์ตี้วันเกิดกันนั้น ( จริงๆ แล้วก็แค่คุยหัวเราะกันเฉยๆ ไม่ได้แดนซ์ เดิ๊นอะไรกันหรอก )  เรากลับปวดหัว มึน หวิวข้างใน อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ฝืนยิ้ม ฝืนคุย สักพักเริ่มบอกกับแฟน ไอเป็นอะไรไม่รู้ ปวดหัว และก็ง่วงนอน  แฟนบอก ก็คงง่วงนอนนั่นหละ เพราะนี่มัน 3 ทุ่ม เกือบ 4 ทุ่ม  ( ก็ประมาณ ตี 3 เกือบ ตี 4 ที่เมืองไทย แต่ท้องฟ้าที่นี่เพิ่งเริ่มมืด) เราจึงได้ถึงบางอ้อ .. ใช่แล้ว นี่มันเป็นเวลานอนแล้วนี่ มิน่าเรามีอาการเหมือนคนง่วงนอน แล้วไม่ได้นอน  สักพัก แฟนก็เลยขอตัวกลับ บอกเพื่อนเขาว่าเราเพิ่งเดินทางมาถึงวันนี้ ร่างกายยังปรับเวลาไม่ได้ เพื่อนของแฟนที่เป็นเจ้าของวันเกิดเค้าน่ารักมาก เค้าพยายามชวนเราคุยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะเราและเค้า ก็ดูจะไม่เก่งภาษาอังกฤษด้วยกันทั้งคู่ โชคดีที่แฟนคอยแปลให้เป็นครั้งคราว  ( เยอรมัน เป็น อังกฤษ สลับกับ อังกฤษ เป็น เยอรมัน )  ก่อนกลับก็มีการร่ำลากัน (  นานมาก ) เป็นภาษาเยอรมัน พูดคุยอะไรกัน เราก็ฟังไม่ออก ต้องยืนรอเกือบ 10 นาที ตอนแรกๆ เราก็เตรียมตัวพูด " nice to meet you , bye "  เพราะนึกว่าเค้่าเดินมาส่งหน้าร้านก็เป็นอันว่าจบการร่ำลา   แต่ไม่ค่ะ  รอแล้ว รออีก .... รอแล้ว ก็รออีก เมื่อไหร่จะลากันจบซะทีเนี่ย ... พอได้ยินแฟนพูด OK .... โอ้ว ลากันจบแล้ว (ดีใจจังเลย)  ...เราก็เลยได้กล่าวคำว่า " ยินดีที่ได้รู้จัก , ลาก่อนค่ะ "


ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก


                  ตั้งแต่รู้ว่าได้วีซ่าก็ใจตุ๊มๆ ต้อม ๆ ที่ต้องบอกพ่อกับแม่  สำหรับแม่นั้น เราบอกแม่ไปว่า " แม่หนูจะไปเที่ยวเมืองนอกนะ " แม่บอก " อือ โตแล้ว อยากไปไหนก็ไป " อิอิ ง่ายเกินคาดแฮะ พอพ่อได้ยินเท่านั้น " จะไปไหน" น้ำเสียงน่ากลัวมาก แม่กระซิบ บอก บริษัทส่งไปทำงานต่างประเทศ เรานึกในใจ โอ๊ย แม่พ่อเค้าไม่เชื่อหรอก บอกไปตรงๆ ละกัน ใจดีสู้เสือ " พ่อจะให้หนู พูดความจริง หรือ โกหก แต่ว่าหนูโตแล้ว พูดความจริงละกัน หนูจะไปเที่ยวเยอรมัน "  น้ำเสียงพ่ออ่อนลง และถามว่า จะไปกี่วัน เราก็บอก ไป 3 เดือน พ่อถาม แล้วจะไปอยู่กับใคร เราบอก อยู่กับเพื่อน และพ่อก็ไม่ถามอะไรต่อ  .... เป็นอันว่า happy ending

                 หลังจากนั้นก็บอก พี่ๆ ทุกคน และ หลานๆ พี่ๆ แสดงความเห็นห่วงใย ไต่ถามสารพัด แต่ไม่มีใครห้าม เพราะคงคิดว่า เราโตแล้ว เชื่อการตัดสินใจของเรา ( แถมพ่อ และ พี่ๆ ยังให้พอคเก็ตมันนี่ติดตัวด้วย ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่มีครอบครัวที่น่ารัก ๆ แบบนี้ )

                วันเดินทาง ดูเหมือน พี่ๆ ทุกคนจะตื่นเต้น มากกว่าเราแฮะ  เรากลับไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะอาการตื่นเต้นมันจางหายตั้งแต่รอผลวีซ่าแล้ว คอยตั้ง 2 อาทิตย์ คอยจนหายอยาก บวกกับต้องเดินทางคนเดียวด้วย .... เซ็งเชียว แต่คิดในแง่ดี เดินทางคนเดียวก็ดีนะ เวลาทำอะไรเปิ่น ๆ จะได้ไม่มีใครรู้เห็น อิิอิ

                   ได้เวลาเช็กอินขึ้นเครื่องประมาณ 4 ทุ่มเกือบ 5 ทุ่ม  น้องพนักงานสายการบิน อียิปต์แอร์ไลน์ เป็นคนไทย น่ารักมาก แต่รู้สึกจะเช็กข้อมูลนานจัง ถามเรา ทำไมเดินทางไปเยอรมัน เพราะได้วีซ่า ออสเตรีย เราก็เลยบอกว่า เพราะว่าต้องไปเจอเพื่อนที่เยอรมัน แล้วค่อยขับรถไปเที่ยวที่ออสเตรีย   แล้วน้องพนักงานคนนั้น ก็เดินเอาเอกสารของเราไปอีกช่องนึง ไปคุยกับพนักงานอีกคน  บรรดาพวกพี่ๆ หลานๆ ที่ไปส่งเริ่มสงสัยทำไมเช็กอิน นานจัง   เราก็เริ่ม เซ็ง ถามน้องพนักงานอีกคนที่เฝ้าเคาท์เตอร์ "น้องคะ ไม่ทราบติดปัญหาอะไรเหรอคะ " เพราะเราเห็น ช่องข้างๆ เช็กอินแป๊บเดียวเอง เสร็จไปหลายคน แต่เรายังยืนอยู่ น้องพนักงานเค้าก็บอกว่า เพราะว่าเป็นการบินครึ้งแรก เลยต้องเช็กข้อมูลนานหน่อย (ไม่รู้เป็นเหตุผลที่แท้จริงๆอ๊ะป่าว ) สักพักก็บอก " เรียบร้อยค่ะ รับกระเป๋าเดินทางที่มิวนิคนะคะ "  เราก็ถาม " แล้วต้องเช็กอิน อีกรอบที่ไคโรไม๊คะ " น้องพนักงานบอก " ไม่ต้องค่ะ  "  .... เฮ้อ เสร็จเรียบร้อย  ขึ้นเครื่องที่เกท E1  ที่นั่ง 31 D  ไฟรด์ที่2 ที่ไคโรให้ไปดูเกท ที่สนามบิน ที่นั่ง 26 A และก็ได้เวลาร่ำลาพี่ๆ หลานๆ  .... ถึงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วจริงๆ

                  เดินเข้าด้านใน ตม.ตรวจเอกสารอีก แต่ต้องหน้าแตก ใยเจ๊หน้าโหด (เรากล่าวคำสวัสดี พี่แกก็ไม่สวัสดีกลับ รอยยิ้มสักนิดก็ไม่เห็นบนใบหน้า ) บอกไปกรอกข้อมูลมาก่อน  ... มันเป็นใบออกนอกประเทศ เราก็กรอกเท่าที่กรอกได้ละกัน ก็กรอก ชื่อ นามสกุล สัญชาติ  เลขที่หนังสือเดินทาง วันเดือนปีเกิด เพศ ระหว่างกรอกอยู่นั้น ก็ดันมีผู้หญิงอีกคนมาถามเราว่ากรอกอะไรบ้าง เราก็ตอบไป ก็กรอกเท่าที่คุณจะกรอกได้อะค่ะ พวกชื่อ เลขที่หนังสือเดินทาง ตามที่เค้าให้กรอกอะค่ะ  และเราก็ชิ่ง ไปยื่นเอกสารตม.อีกครึ้ง คราวนี้ไม่เข้าช่องใยเจ๊ หน้าโหดแล้ว เปลี่ยนช่องดีกว่า แต่สุดท้ายก็เจอหน้าโหดเหมือนกันอยู่ดี  .. นึกๆ ตม. (แม่ง) หน้าโหด ไม่ยิ้มแย้มแบบนี้ ทุกคนป่าววะ .....แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

                  ระหว่างรอเวลาขึ้นเครื่อง เราก็เตร็ดเตร่ อยู่ด้านใน มีของ ดิวตี้ฟรี ขาย แต่ดูๆ ราคาก็แพง และก็ไม่อยากหอบหิ้วไปเยอรมัน (เป็นพวกไม่ชอบถือ หิ้วของ ให้เกะกะ ) แล้วสักพักเราก็โทรรายงานแฟน ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี  แฟนก็ดีใจ

                   จากนั้นเราก็เดินมายังเกท ที่เราจะต้องรายงานตัวเพื่อขึ้นเครื่อง กว่าเครื่องจะออกก็เกือบ ตีสอง นี่แค่เกือบเที่ยงคืน บริเวณนั้นมีอินเทอร์เน็ตฟรี ด้วย แต่เพื่อป้องกันคนเล่นนานหรือไงไม่รู้  เพราะเก้าอี้ ต่ำกว่าคอมและคีย์บอร์ดมาก ขนาดเราตัวสูง ตัวยาว ยืดตัวเล่นเฟซบุคจนเมื่อย ไม่ไหว เล่นได้แป๊บเดียว ก็เลิก มองหาที่นั่งพัก เจอที่นั่งเอนได้ เหมือนนอนนวด( ใช่หรือป่าวไม่แน่ใจ พยายามหาที่กดให้นวดแต่ไม่เจอ ก็เลยนอนเฉยๆ ) นอนไม่หลับ  ก็เลยหยิบเอกสารที่ปริ้นสำหรับไว้อ่านบนเครื่องมาอ่าน อ่านได้แป๊บเดียวก็เบื่อ นั่งบ้าง นอนบ้าง เพราะถ้าลุกไป ต้องเสียม้า แน่นอน ฮาาา  มีคนหลายคนคงอยากมานั่งแน่ๆ  เพราะมีหลายคนที่นั่งเก้าอี้ แบบธรรมดา ที่ไม่ใช่แบบเก้าอี้เอนนอนได้อยู่ และแล้วเวลารายงานตัวขึ้นเครื่องก็มาถึง ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ  เราก็ไปนั่งรอรายงานตัว ... ประมาณ 20 นาที ก็ได้เวลารายงานตัว เดินไปตามทางเดิน และก็ขึ้นเครื่องมีพนักงานต้อนรับ ยืนยิ้มอยู่ทางเข้าเครื่อง  ตื่นเต้นเชียว ( เราอมยิ้มตลอดทางเดิน )

               พอขึ้นเครื่อง โชคดีจังแฮะ เรานั่งคนเดียว อีก 2 ที่นั่ง ว่างเปล่า อิอิ ดีจังเลย ไม่อึดอัด ตื่นเต้นมาก นั่งยิ้มคนเดียว มันเป็นประสบการณ์ใหม่ สำรวจโน่น นี่ รอบๆ ที่นั่ง ดูเข็มขัด ว่าคาดยังไง จอมอนิเตอร์ใช้ยังไง ถุงสำหรับใส่อาเจียนอยู่ตรงไหน เผื่อเมาเครื่องจะได้ไม่ฉุกละหุก ( แต่โชคดี ไม่ป่วยบนเครื่อง ) พอเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัว เราเคี้ยวหมากฝรั่งตลอด เพราะอ่านเจอในเวบส์เค้าบอกว่าจะไม่ทำให้ ปวดแก้วหู เราก็ทำตาม เคี้ยวตั้งแต่เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัว เคี้ยวจนเมื่อยกราม มือเริ่มเย็น ขาเริ่มเกร็ง .... เวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เครื่องบินก็ไม่บินขึ้นสักที ทำไมไม่บินซะทีวะ ตื่นเต้นจนหายแล้วเนี่ย  ( ขำตัวเอง )และแล้วก็รอคอยก็สิ้นสุด กัปตันเร่งเครื่องจนเสียงแสบแก้วหู และแล้วเครื่องบินก็ทะยานสู่ท้องฟ้า

               พอเห็นแอร์โฮสเตส ลุกจากที่นั่งแล้วเดิน คนอื่นเอาเข็มขัดออก เราก็เอาออกบ้าง พอสัก 1 ชม. ผ่านไป กินอาหารเรียบร้อย  ไฟเริ่มสลัว คนเริ่มนอน จอมอนิเตอร์ ด้านหน้าเราก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ (เปิดเล่นจนเบื่อ) นอนดีกว่า 3 ที่นั่งเป็นของเรา นอนเหยียดยาวได้เต็มที อิิอิ ตอนแรกๆ ก็เขินๆ เพราะเห็นหลายๆ คนนั่งหลับ แต่พอนอนสักพัก เออ สบายดี แต่ความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องเครื่องยนต์ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ตลอดเวลา คิดว่าจะนอนไม่หลับ แต่ก็หลับจนได้ หนุนหมอน 3 ใบ ผ้าห่มหนึ่งผืน และที่ปิดตา

               นอนสักพัก ดันตื่นเพราะอยากเข้่าห้องน้ำ หลังจากสังเกตุการณ์สักแป๊บ เห็นคนโน้น คนนี้ เข้า-ออก เราก็โอเค เดินไปเข้าบ้าง พอจะถึงห้องน้ำ เหลือบไปเห็น ฝรั่งคนนึง นอนสบายมาก (ช่างไม่อายเลย) นอนกับพื้นเครื่องบินค่ะ ทั้งๆ ที่เบาะของพี่แก 3 ตัวก็ว่างเหมือนเรา นึกขำๆ แกนอนสบายยิ่งกว่าชั้นเฟิร์สคลาสซะอีก

             ช่วงเวลาแห่งความสุขของเราบนเครื่องบิน นั่นก็คือการกิน ของเราได้รับการเสิร์ฟอาหารก่อนใคร เพราะของเราเป็นเมนู ซีฟู้ด คนที่เป็นเมนูซีฟู้ดก็จะได้เสิร์ฟก่อน เพราะเป็นเมนูของคนส่วนน้อย  ระหว่างที่รอเครื่องดิืม ซึ่งเขามีหลากหลายให้เลือก เราก็คิด ดื่มไรดี จะเอาน้ำผลไม้ก็กลัวไม่อร่อย จะเอาโค้กก็กลัวไม่เย็นจะไม่ซ่า งั้น เอาเซเว่นอัพ ละกัน เออ ก็อร่อยดี ซ่านิดๆ

             และแล้วไฟรด์แรกของการเดินทางก็ผ่านไปได้ด้วยดี กัปตันแลนด์ดิ้งได้นิ่มมาก เวลาที่ไคโร ประมาณ 6.30 น. (ปัญหา(เล็กๆ) เกิดขึ้นแล้ว ก็ไอ้ผ้าห่มของสายการบินน่ะซิ มันเป็นเหมือนผ้าสำลี  ขนมันดันหลุดติดเสื้อแจ็คเก็ตเราเพียบเลย เราก็เอาและหาทางเอาออก ปัดก็แล้ว ดึงก็แล้ว มันก็เกาะเสื้อแจ็คเก็ตเราแน่น ทั้งปัด ทั้งหยิบจนเจ็บมือไปหมด  อารมณ์วุ่นวายกับการเอาขนผ้าสำลีออกจากแจ็คเก็ต จนลืมความตื่นเต้นของการแลนด์ดิ้งครั้งแรกไปเลย  )   พอเครื่องจอดสนิท คนลุก เราก็ลุกบ้าง เดินตามชาวบ้านไป ระหว่างที่เดิน เราก็สังเกตุเห็นน้องคนนึง มีตุ๊กตาหมูอยู่ด้านหลัง เรา็ก็เลยลองถามเค้่าเป็นภาษาไทย " น้องคะ ไปลงที่มิวนิคหรือป่าวคะ " น้องเค้าก็ตอบ " ใช่คะ" อิอิ มีเพื่อนไปแล้ว จะได้ไม่หลงเวลาเปลี่ยนเครื่อง แต่ปรากฏว่า น้องเค้าบินครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็โชคดีจนได้ ได้เจอกับซิสเตอร์ คนนึง และพี่สาวอีกคน  ตกลงกรุ๊ปสาวไทยมีอยู่ด้วยกัน 4  คน รอเปลี่ยนฟรด์ ที่ไคโร (ไม่เหงาแล้วเรา อิอิ )เนื่องจากซิสเตอร์ เคยบินมาหลายครั้ง และเคยมาต่อเครื่องที่นี่แล้ว จึงให้คำแนะนำ เราเป็นอย่างดี สุดท้าย เราก็ได้ต่อไฟรด์ที่สองโดยสวัสดิภาพ แต่มีเพียงน้องผู้หญิงเท่านั้นที่ไปมิวนิค นอกนั้นไปที่อื่น เราใช้เวลาอยู่ในอียิปต์แอร์พอร์ต  เดินดูร้านต่างๆ ถ่ายรูปบ้าง เพื่อฆ่าเวลา ( สนามบินอียิปต์ มองออกไปด้านนอก ด้านหนึ่งเหมือนเป็นทะเลทราย เพราะไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากทรายสีน้ำตาล ส่วนอีกด้านนึงคงเป็นทางเข้าเมืองเพราะเห็นถนน และตึกซึ่งไม่สูงนัก ) ประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็ไปที่เกท F1 ตามที่ได้เช็กจอมอร์นิเตอร์ ของสายการบิน

            ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ตม. ที่โน่นก็ตรวจเอกสาร ... เอาอีกและ ติดปัญหาอีกและ เจ้าหน้าที่อียิปต์ ก็กักตัวเราไว้ เราก็เซ็ง อะไรอีกวะเนี่ย ที่ไทยก็ครั้งนึงแล้ว ยังจะที่อียิปต์อีก และก็ถามคำถามเดิม ว่าทำไมไปมิวนิึค แต่วีซ่าเป็นออสเตรีย  ใครออกให้ (แม่งตม.ทุกประทศเหมือนกันป่าววะ ยิ้มแย้มไม่เป็น) เราก็อธิบาย สถานทูตออสเตรีย ที่ประเทศไทยออกให้ ฉันจะไปเที่ยวออสเตรีย และใช้เวลานานกว่าอยู่เยอรมัน แต่ต้องไปเจอเพื่อนที่เยอรมันก่อน แล้วค่อยขับรถไปที่ออสเตรีย เค้าก็หายเข้าไปคุยกับคนข้างใน แป๊บนึง แล้วเค้าก็ออกมา และก็เอาแว่นขยายเหมือนส่องพระ ส่องวีซ่า เฮ้อ อะไรกันนักหนา วีซ่าฉันของจริงย่ะ ... และแล้วก็ให้เราผ่าน (เราเริ่มหงุดหงิด แต่เก็บอาการ) ... แปลกใจจัง เจอเหตุการณ์แบบนี้ และอยู่ต่างถิ่นด้วย ทำไมไม่มีอาการกลัว  ... เป็นแบบนี้ประจำ กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว และก็ไม่กลัวในส่ิงที่ควรจะกลัว


          ไฟรด์ที่สองเราจองที่นั่งริมหน้าต่างเนื่องจากแฟนอยากให้เราเห็นประเทศเค้า เวลาแลนด์ดิ้ง และแล้วที่นั่งทั้ง 3 ที่ก็เป็นของเราอีกครั้ง (ช่างสบายจริงๆ การเดินทางครั้งนี้ นอนเหยียดยาวอีกเช่นเคย) แต่เครื่องบินลำที่สองนี้ จะเล็กกว่าลำแรก จึงแคบสักเล็กน้อย  ห้องน้ำก็อมีอยู่แค่หลังเครื่องเท่านั้น ไม่มีตรงกลางลำเหมือนไฟรด์แรก ... เราเริ่มหิวตั้งแต่นั่งรอ ขึ้นเครื่องไฟดร์ที่ 2 แล้ว และก็หวังว่าขึ้นเครื่องปุ๊บ เขาคงเสิร์ฟ อาหารเหมือน ไฟรด์แรก แต่ไม่ค่ะ กว่าจะเสิร์ฟอาหาร โน่นน่ะค่ะ เกือบแลนด์ดิ้ง ที่มิวนิค นอนทนหิวซะหลายชั่วโมง   ... ระหว่างที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น เราก็มองริมหน้าต่าง เมื่อไหร่จะบินขึ้นคะ เคี้ยวหมากฝรั่งจนเมื่อยกรามอีกเช่นเคย กัปตันพาเครื่องบิน ( เหมือนทัวร์สนามบิน  ) คลานไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ และแล้วก็บิน เราก็มองหน้าต่างไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ สักพัก โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว เครื่องบินเริ่มสูงขึ้น แต่หัวใจนี่ซิ เหมือนถูกบีบ ให้เล็กลง เล็กลง เรื่อยๆ เหงื่อเริ่มออกฝ่ามือ โอ๊ย ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ใจจะขาด .... สุดท้าย หลับตา  แต่มองหน้าต่างเป็นระยะ ๆ  กว่าหัวใจจะเป็นปกติ เล่นเอาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน สักพัก เครื่องบินๆ เข้าสู้ทะเล ( ไม่รู้ทะเลอะไรขี้เกียจหาข้อมูล ใครอยากรู้ หาเอาเองละกันนะ ) สวยดี เห็นชายหาด และก็ทะเล และเครื่องบิน ก็บิน สูงขึ้น เรื่อยๆ จนสุดท้ายเ็ห็นแต่เมฆ  เมฆเป็นชั้นๆ สวยมาก เหมือนอยู่บนสวรรค์  ทำให้เราคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย เออ นางฟ้า เทวดา ที่เค้าอยู่บนสวรรค์ เค้าอยู่กันแบบนี้นี่เอง

         ได้เวลาใกล้แลนด์ดิ้ง ( ท้องอิ่มและ กินอาหารเรียบร้อย ) เครื่องบินเริ่มบินต่ำจนมองเห็น ภูเขา ต้นไม้สีเขียว น้ำตาล เริ่มดูออกว่าเป็นบ้านคน และก็บินต่ำลง ต่ำลง แปลกใจเวลาเครื่องบินเลี้ยว เราเห็นนะว่าปีกของเครื่องบินเลี้ยว เพราะนั่งใกล้ปีก แต่เรากลับไปรู้สึกโอนเอนไปตามเครื่องบิน และแล้วก็แลนด์ดิ้ง แต่คราวนี้ไม่นิ่มเหมือนไฟรด์แรก สะเทือนเล็กน้อย แต่ก็โอเค ถึงมิวนิค โดยสวัสดิภาพ

        เราก็พาน้องอีกคนที่มามิวนิคเหมือนกัน ไปเอากระเป๋า ด้วยความที่แฟนเรา สอนมาอย่างดีว่า ต้องทำอย่างไร เราก็ทำตาม เดินไปตามลูกศร และก็เข้าไปด่าน ตม. อีกแต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่านั่นคือ ตม. เราก็เลยถาม คือดิฉันจะไปรับกระเป๋าเดินทางน่ะค่ะ ต้องทำยังไงบ้างคะ ตม.ที่นี่ค่อยดีหน่อย เค้าก็ดูเอกสารเรา ถามเราว่า  จุดหมายปลายทางของเราคือมิวนิค ใช่ไม๊ เราก็บอก ใช่ค่ะ เค้าก็สแตมป์  (อย่างแรง เสียงดังเชียว ) ไปที่พาสปอร์ต ละก็ชี้นิ้ว เราก็เดินไปตามที่เค้าชี้ ( แต่ก็ไม่ลืมรอน้องอีกคน ที่ต้องรอผ่าน ตม. หมือนกัน )  และแล้ว สองสาว ก็ไปเอากระเป๋าเดินทาง รอแป๊บนึง กระเป๋าเดินทางของเราออกมาเป็นใบแรกเลย อิอิ  พอได้กระเป๋าปุ๊บ อยากจะร้องไห้ กระเป๋าของฉัน มีรอยขูดขีด (ไอ้พนักงานมันไม่ปราณีกระเป๋าเราเลย ฮืออออ)

       ได้กระเป๋าเรียบร้อยก็เดินไปตามทางออก น้องคนที่มาด้วย แฟนเค้า พี่ชาย และหลานๆ มารอรับกัน แต่เราซิ ไอ้แฟนตัวดี ไหนบอก ออกมาปุ๊บ ก็เห็น เค้าจะรอตรงนี้ เราก็ อารมณ์เริ่มหงุดหงิด แต่ก็บอกตัวเอง เออ ใจเย็นๆ   หลังจากร่ำลาน้องที่มาไฟรด์เีดียวกันเรียบร้อย เราก็โทรศัพท์หาแฟนตัวดี พี่แกรับสาย เราถาม คุณอยู่ที่ไหน เขาบอก เขาอยู่ด้านนอก รับกระเป๋าเดินทางหรือยัง เราบอกเรียบร้อยแล้ว นี่รออยู่ตรงด้านหน้า ร้า่นสตาร์บัค เค้าก็บอก โอเค เค้าจะรีบมาหา เราก็นั่งรอ ... แป๊บนึง เห็นเขาเดินเข้าไปในร้านสตาร์บัค เราก็เฮ้อ ฉันบอก ฉันอยู่หน้าร้าน เราก็ตะโกนเรียก เค้าก็รีบเข้ามาหาเรา ... สุดท้าย เจอกันจนได้