วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก


                  ตั้งแต่รู้ว่าได้วีซ่าก็ใจตุ๊มๆ ต้อม ๆ ที่ต้องบอกพ่อกับแม่  สำหรับแม่นั้น เราบอกแม่ไปว่า " แม่หนูจะไปเที่ยวเมืองนอกนะ " แม่บอก " อือ โตแล้ว อยากไปไหนก็ไป " อิอิ ง่ายเกินคาดแฮะ พอพ่อได้ยินเท่านั้น " จะไปไหน" น้ำเสียงน่ากลัวมาก แม่กระซิบ บอก บริษัทส่งไปทำงานต่างประเทศ เรานึกในใจ โอ๊ย แม่พ่อเค้าไม่เชื่อหรอก บอกไปตรงๆ ละกัน ใจดีสู้เสือ " พ่อจะให้หนู พูดความจริง หรือ โกหก แต่ว่าหนูโตแล้ว พูดความจริงละกัน หนูจะไปเที่ยวเยอรมัน "  น้ำเสียงพ่ออ่อนลง และถามว่า จะไปกี่วัน เราก็บอก ไป 3 เดือน พ่อถาม แล้วจะไปอยู่กับใคร เราบอก อยู่กับเพื่อน และพ่อก็ไม่ถามอะไรต่อ  .... เป็นอันว่า happy ending

                 หลังจากนั้นก็บอก พี่ๆ ทุกคน และ หลานๆ พี่ๆ แสดงความเห็นห่วงใย ไต่ถามสารพัด แต่ไม่มีใครห้าม เพราะคงคิดว่า เราโตแล้ว เชื่อการตัดสินใจของเรา ( แถมพ่อ และ พี่ๆ ยังให้พอคเก็ตมันนี่ติดตัวด้วย ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่มีครอบครัวที่น่ารัก ๆ แบบนี้ )

                วันเดินทาง ดูเหมือน พี่ๆ ทุกคนจะตื่นเต้น มากกว่าเราแฮะ  เรากลับไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะอาการตื่นเต้นมันจางหายตั้งแต่รอผลวีซ่าแล้ว คอยตั้ง 2 อาทิตย์ คอยจนหายอยาก บวกกับต้องเดินทางคนเดียวด้วย .... เซ็งเชียว แต่คิดในแง่ดี เดินทางคนเดียวก็ดีนะ เวลาทำอะไรเปิ่น ๆ จะได้ไม่มีใครรู้เห็น อิิอิ

                   ได้เวลาเช็กอินขึ้นเครื่องประมาณ 4 ทุ่มเกือบ 5 ทุ่ม  น้องพนักงานสายการบิน อียิปต์แอร์ไลน์ เป็นคนไทย น่ารักมาก แต่รู้สึกจะเช็กข้อมูลนานจัง ถามเรา ทำไมเดินทางไปเยอรมัน เพราะได้วีซ่า ออสเตรีย เราก็เลยบอกว่า เพราะว่าต้องไปเจอเพื่อนที่เยอรมัน แล้วค่อยขับรถไปเที่ยวที่ออสเตรีย   แล้วน้องพนักงานคนนั้น ก็เดินเอาเอกสารของเราไปอีกช่องนึง ไปคุยกับพนักงานอีกคน  บรรดาพวกพี่ๆ หลานๆ ที่ไปส่งเริ่มสงสัยทำไมเช็กอิน นานจัง   เราก็เริ่ม เซ็ง ถามน้องพนักงานอีกคนที่เฝ้าเคาท์เตอร์ "น้องคะ ไม่ทราบติดปัญหาอะไรเหรอคะ " เพราะเราเห็น ช่องข้างๆ เช็กอินแป๊บเดียวเอง เสร็จไปหลายคน แต่เรายังยืนอยู่ น้องพนักงานเค้าก็บอกว่า เพราะว่าเป็นการบินครึ้งแรก เลยต้องเช็กข้อมูลนานหน่อย (ไม่รู้เป็นเหตุผลที่แท้จริงๆอ๊ะป่าว ) สักพักก็บอก " เรียบร้อยค่ะ รับกระเป๋าเดินทางที่มิวนิคนะคะ "  เราก็ถาม " แล้วต้องเช็กอิน อีกรอบที่ไคโรไม๊คะ " น้องพนักงานบอก " ไม่ต้องค่ะ  "  .... เฮ้อ เสร็จเรียบร้อย  ขึ้นเครื่องที่เกท E1  ที่นั่ง 31 D  ไฟรด์ที่2 ที่ไคโรให้ไปดูเกท ที่สนามบิน ที่นั่ง 26 A และก็ได้เวลาร่ำลาพี่ๆ หลานๆ  .... ถึงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วจริงๆ

                  เดินเข้าด้านใน ตม.ตรวจเอกสารอีก แต่ต้องหน้าแตก ใยเจ๊หน้าโหด (เรากล่าวคำสวัสดี พี่แกก็ไม่สวัสดีกลับ รอยยิ้มสักนิดก็ไม่เห็นบนใบหน้า ) บอกไปกรอกข้อมูลมาก่อน  ... มันเป็นใบออกนอกประเทศ เราก็กรอกเท่าที่กรอกได้ละกัน ก็กรอก ชื่อ นามสกุล สัญชาติ  เลขที่หนังสือเดินทาง วันเดือนปีเกิด เพศ ระหว่างกรอกอยู่นั้น ก็ดันมีผู้หญิงอีกคนมาถามเราว่ากรอกอะไรบ้าง เราก็ตอบไป ก็กรอกเท่าที่คุณจะกรอกได้อะค่ะ พวกชื่อ เลขที่หนังสือเดินทาง ตามที่เค้าให้กรอกอะค่ะ  และเราก็ชิ่ง ไปยื่นเอกสารตม.อีกครึ้ง คราวนี้ไม่เข้าช่องใยเจ๊ หน้าโหดแล้ว เปลี่ยนช่องดีกว่า แต่สุดท้ายก็เจอหน้าโหดเหมือนกันอยู่ดี  .. นึกๆ ตม. (แม่ง) หน้าโหด ไม่ยิ้มแย้มแบบนี้ ทุกคนป่าววะ .....แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

                  ระหว่างรอเวลาขึ้นเครื่อง เราก็เตร็ดเตร่ อยู่ด้านใน มีของ ดิวตี้ฟรี ขาย แต่ดูๆ ราคาก็แพง และก็ไม่อยากหอบหิ้วไปเยอรมัน (เป็นพวกไม่ชอบถือ หิ้วของ ให้เกะกะ ) แล้วสักพักเราก็โทรรายงานแฟน ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี  แฟนก็ดีใจ

                   จากนั้นเราก็เดินมายังเกท ที่เราจะต้องรายงานตัวเพื่อขึ้นเครื่อง กว่าเครื่องจะออกก็เกือบ ตีสอง นี่แค่เกือบเที่ยงคืน บริเวณนั้นมีอินเทอร์เน็ตฟรี ด้วย แต่เพื่อป้องกันคนเล่นนานหรือไงไม่รู้  เพราะเก้าอี้ ต่ำกว่าคอมและคีย์บอร์ดมาก ขนาดเราตัวสูง ตัวยาว ยืดตัวเล่นเฟซบุคจนเมื่อย ไม่ไหว เล่นได้แป๊บเดียว ก็เลิก มองหาที่นั่งพัก เจอที่นั่งเอนได้ เหมือนนอนนวด( ใช่หรือป่าวไม่แน่ใจ พยายามหาที่กดให้นวดแต่ไม่เจอ ก็เลยนอนเฉยๆ ) นอนไม่หลับ  ก็เลยหยิบเอกสารที่ปริ้นสำหรับไว้อ่านบนเครื่องมาอ่าน อ่านได้แป๊บเดียวก็เบื่อ นั่งบ้าง นอนบ้าง เพราะถ้าลุกไป ต้องเสียม้า แน่นอน ฮาาา  มีคนหลายคนคงอยากมานั่งแน่ๆ  เพราะมีหลายคนที่นั่งเก้าอี้ แบบธรรมดา ที่ไม่ใช่แบบเก้าอี้เอนนอนได้อยู่ และแล้วเวลารายงานตัวขึ้นเครื่องก็มาถึง ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ  เราก็ไปนั่งรอรายงานตัว ... ประมาณ 20 นาที ก็ได้เวลารายงานตัว เดินไปตามทางเดิน และก็ขึ้นเครื่องมีพนักงานต้อนรับ ยืนยิ้มอยู่ทางเข้าเครื่อง  ตื่นเต้นเชียว ( เราอมยิ้มตลอดทางเดิน )

               พอขึ้นเครื่อง โชคดีจังแฮะ เรานั่งคนเดียว อีก 2 ที่นั่ง ว่างเปล่า อิอิ ดีจังเลย ไม่อึดอัด ตื่นเต้นมาก นั่งยิ้มคนเดียว มันเป็นประสบการณ์ใหม่ สำรวจโน่น นี่ รอบๆ ที่นั่ง ดูเข็มขัด ว่าคาดยังไง จอมอนิเตอร์ใช้ยังไง ถุงสำหรับใส่อาเจียนอยู่ตรงไหน เผื่อเมาเครื่องจะได้ไม่ฉุกละหุก ( แต่โชคดี ไม่ป่วยบนเครื่อง ) พอเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัว เราเคี้ยวหมากฝรั่งตลอด เพราะอ่านเจอในเวบส์เค้าบอกว่าจะไม่ทำให้ ปวดแก้วหู เราก็ทำตาม เคี้ยวตั้งแต่เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัว เคี้ยวจนเมื่อยกราม มือเริ่มเย็น ขาเริ่มเกร็ง .... เวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เครื่องบินก็ไม่บินขึ้นสักที ทำไมไม่บินซะทีวะ ตื่นเต้นจนหายแล้วเนี่ย  ( ขำตัวเอง )และแล้วก็รอคอยก็สิ้นสุด กัปตันเร่งเครื่องจนเสียงแสบแก้วหู และแล้วเครื่องบินก็ทะยานสู่ท้องฟ้า

               พอเห็นแอร์โฮสเตส ลุกจากที่นั่งแล้วเดิน คนอื่นเอาเข็มขัดออก เราก็เอาออกบ้าง พอสัก 1 ชม. ผ่านไป กินอาหารเรียบร้อย  ไฟเริ่มสลัว คนเริ่มนอน จอมอนิเตอร์ ด้านหน้าเราก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ (เปิดเล่นจนเบื่อ) นอนดีกว่า 3 ที่นั่งเป็นของเรา นอนเหยียดยาวได้เต็มที อิิอิ ตอนแรกๆ ก็เขินๆ เพราะเห็นหลายๆ คนนั่งหลับ แต่พอนอนสักพัก เออ สบายดี แต่ความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องเครื่องยนต์ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ตลอดเวลา คิดว่าจะนอนไม่หลับ แต่ก็หลับจนได้ หนุนหมอน 3 ใบ ผ้าห่มหนึ่งผืน และที่ปิดตา

               นอนสักพัก ดันตื่นเพราะอยากเข้่าห้องน้ำ หลังจากสังเกตุการณ์สักแป๊บ เห็นคนโน้น คนนี้ เข้า-ออก เราก็โอเค เดินไปเข้าบ้าง พอจะถึงห้องน้ำ เหลือบไปเห็น ฝรั่งคนนึง นอนสบายมาก (ช่างไม่อายเลย) นอนกับพื้นเครื่องบินค่ะ ทั้งๆ ที่เบาะของพี่แก 3 ตัวก็ว่างเหมือนเรา นึกขำๆ แกนอนสบายยิ่งกว่าชั้นเฟิร์สคลาสซะอีก

             ช่วงเวลาแห่งความสุขของเราบนเครื่องบิน นั่นก็คือการกิน ของเราได้รับการเสิร์ฟอาหารก่อนใคร เพราะของเราเป็นเมนู ซีฟู้ด คนที่เป็นเมนูซีฟู้ดก็จะได้เสิร์ฟก่อน เพราะเป็นเมนูของคนส่วนน้อย  ระหว่างที่รอเครื่องดิืม ซึ่งเขามีหลากหลายให้เลือก เราก็คิด ดื่มไรดี จะเอาน้ำผลไม้ก็กลัวไม่อร่อย จะเอาโค้กก็กลัวไม่เย็นจะไม่ซ่า งั้น เอาเซเว่นอัพ ละกัน เออ ก็อร่อยดี ซ่านิดๆ

             และแล้วไฟรด์แรกของการเดินทางก็ผ่านไปได้ด้วยดี กัปตันแลนด์ดิ้งได้นิ่มมาก เวลาที่ไคโร ประมาณ 6.30 น. (ปัญหา(เล็กๆ) เกิดขึ้นแล้ว ก็ไอ้ผ้าห่มของสายการบินน่ะซิ มันเป็นเหมือนผ้าสำลี  ขนมันดันหลุดติดเสื้อแจ็คเก็ตเราเพียบเลย เราก็เอาและหาทางเอาออก ปัดก็แล้ว ดึงก็แล้ว มันก็เกาะเสื้อแจ็คเก็ตเราแน่น ทั้งปัด ทั้งหยิบจนเจ็บมือไปหมด  อารมณ์วุ่นวายกับการเอาขนผ้าสำลีออกจากแจ็คเก็ต จนลืมความตื่นเต้นของการแลนด์ดิ้งครั้งแรกไปเลย  )   พอเครื่องจอดสนิท คนลุก เราก็ลุกบ้าง เดินตามชาวบ้านไป ระหว่างที่เดิน เราก็สังเกตุเห็นน้องคนนึง มีตุ๊กตาหมูอยู่ด้านหลัง เรา็ก็เลยลองถามเค้่าเป็นภาษาไทย " น้องคะ ไปลงที่มิวนิคหรือป่าวคะ " น้องเค้าก็ตอบ " ใช่คะ" อิอิ มีเพื่อนไปแล้ว จะได้ไม่หลงเวลาเปลี่ยนเครื่อง แต่ปรากฏว่า น้องเค้าบินครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็โชคดีจนได้ ได้เจอกับซิสเตอร์ คนนึง และพี่สาวอีกคน  ตกลงกรุ๊ปสาวไทยมีอยู่ด้วยกัน 4  คน รอเปลี่ยนฟรด์ ที่ไคโร (ไม่เหงาแล้วเรา อิอิ )เนื่องจากซิสเตอร์ เคยบินมาหลายครั้ง และเคยมาต่อเครื่องที่นี่แล้ว จึงให้คำแนะนำ เราเป็นอย่างดี สุดท้าย เราก็ได้ต่อไฟรด์ที่สองโดยสวัสดิภาพ แต่มีเพียงน้องผู้หญิงเท่านั้นที่ไปมิวนิค นอกนั้นไปที่อื่น เราใช้เวลาอยู่ในอียิปต์แอร์พอร์ต  เดินดูร้านต่างๆ ถ่ายรูปบ้าง เพื่อฆ่าเวลา ( สนามบินอียิปต์ มองออกไปด้านนอก ด้านหนึ่งเหมือนเป็นทะเลทราย เพราะไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากทรายสีน้ำตาล ส่วนอีกด้านนึงคงเป็นทางเข้าเมืองเพราะเห็นถนน และตึกซึ่งไม่สูงนัก ) ประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็ไปที่เกท F1 ตามที่ได้เช็กจอมอร์นิเตอร์ ของสายการบิน

            ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ตม. ที่โน่นก็ตรวจเอกสาร ... เอาอีกและ ติดปัญหาอีกและ เจ้าหน้าที่อียิปต์ ก็กักตัวเราไว้ เราก็เซ็ง อะไรอีกวะเนี่ย ที่ไทยก็ครั้งนึงแล้ว ยังจะที่อียิปต์อีก และก็ถามคำถามเดิม ว่าทำไมไปมิวนิึค แต่วีซ่าเป็นออสเตรีย  ใครออกให้ (แม่งตม.ทุกประทศเหมือนกันป่าววะ ยิ้มแย้มไม่เป็น) เราก็อธิบาย สถานทูตออสเตรีย ที่ประเทศไทยออกให้ ฉันจะไปเที่ยวออสเตรีย และใช้เวลานานกว่าอยู่เยอรมัน แต่ต้องไปเจอเพื่อนที่เยอรมันก่อน แล้วค่อยขับรถไปที่ออสเตรีย เค้าก็หายเข้าไปคุยกับคนข้างใน แป๊บนึง แล้วเค้าก็ออกมา และก็เอาแว่นขยายเหมือนส่องพระ ส่องวีซ่า เฮ้อ อะไรกันนักหนา วีซ่าฉันของจริงย่ะ ... และแล้วก็ให้เราผ่าน (เราเริ่มหงุดหงิด แต่เก็บอาการ) ... แปลกใจจัง เจอเหตุการณ์แบบนี้ และอยู่ต่างถิ่นด้วย ทำไมไม่มีอาการกลัว  ... เป็นแบบนี้ประจำ กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว และก็ไม่กลัวในส่ิงที่ควรจะกลัว


          ไฟรด์ที่สองเราจองที่นั่งริมหน้าต่างเนื่องจากแฟนอยากให้เราเห็นประเทศเค้า เวลาแลนด์ดิ้ง และแล้วที่นั่งทั้ง 3 ที่ก็เป็นของเราอีกครั้ง (ช่างสบายจริงๆ การเดินทางครั้งนี้ นอนเหยียดยาวอีกเช่นเคย) แต่เครื่องบินลำที่สองนี้ จะเล็กกว่าลำแรก จึงแคบสักเล็กน้อย  ห้องน้ำก็อมีอยู่แค่หลังเครื่องเท่านั้น ไม่มีตรงกลางลำเหมือนไฟรด์แรก ... เราเริ่มหิวตั้งแต่นั่งรอ ขึ้นเครื่องไฟดร์ที่ 2 แล้ว และก็หวังว่าขึ้นเครื่องปุ๊บ เขาคงเสิร์ฟ อาหารเหมือน ไฟรด์แรก แต่ไม่ค่ะ กว่าจะเสิร์ฟอาหาร โน่นน่ะค่ะ เกือบแลนด์ดิ้ง ที่มิวนิค นอนทนหิวซะหลายชั่วโมง   ... ระหว่างที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น เราก็มองริมหน้าต่าง เมื่อไหร่จะบินขึ้นคะ เคี้ยวหมากฝรั่งจนเมื่อยกรามอีกเช่นเคย กัปตันพาเครื่องบิน ( เหมือนทัวร์สนามบิน  ) คลานไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ และแล้วก็บิน เราก็มองหน้าต่างไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ สักพัก โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว เครื่องบินเริ่มสูงขึ้น แต่หัวใจนี่ซิ เหมือนถูกบีบ ให้เล็กลง เล็กลง เรื่อยๆ เหงื่อเริ่มออกฝ่ามือ โอ๊ย ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ใจจะขาด .... สุดท้าย หลับตา  แต่มองหน้าต่างเป็นระยะ ๆ  กว่าหัวใจจะเป็นปกติ เล่นเอาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน สักพัก เครื่องบินๆ เข้าสู้ทะเล ( ไม่รู้ทะเลอะไรขี้เกียจหาข้อมูล ใครอยากรู้ หาเอาเองละกันนะ ) สวยดี เห็นชายหาด และก็ทะเล และเครื่องบิน ก็บิน สูงขึ้น เรื่อยๆ จนสุดท้ายเ็ห็นแต่เมฆ  เมฆเป็นชั้นๆ สวยมาก เหมือนอยู่บนสวรรค์  ทำให้เราคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย เออ นางฟ้า เทวดา ที่เค้าอยู่บนสวรรค์ เค้าอยู่กันแบบนี้นี่เอง

         ได้เวลาใกล้แลนด์ดิ้ง ( ท้องอิ่มและ กินอาหารเรียบร้อย ) เครื่องบินเริ่มบินต่ำจนมองเห็น ภูเขา ต้นไม้สีเขียว น้ำตาล เริ่มดูออกว่าเป็นบ้านคน และก็บินต่ำลง ต่ำลง แปลกใจเวลาเครื่องบินเลี้ยว เราเห็นนะว่าปีกของเครื่องบินเลี้ยว เพราะนั่งใกล้ปีก แต่เรากลับไปรู้สึกโอนเอนไปตามเครื่องบิน และแล้วก็แลนด์ดิ้ง แต่คราวนี้ไม่นิ่มเหมือนไฟรด์แรก สะเทือนเล็กน้อย แต่ก็โอเค ถึงมิวนิค โดยสวัสดิภาพ

        เราก็พาน้องอีกคนที่มามิวนิคเหมือนกัน ไปเอากระเป๋า ด้วยความที่แฟนเรา สอนมาอย่างดีว่า ต้องทำอย่างไร เราก็ทำตาม เดินไปตามลูกศร และก็เข้าไปด่าน ตม. อีกแต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่านั่นคือ ตม. เราก็เลยถาม คือดิฉันจะไปรับกระเป๋าเดินทางน่ะค่ะ ต้องทำยังไงบ้างคะ ตม.ที่นี่ค่อยดีหน่อย เค้าก็ดูเอกสารเรา ถามเราว่า  จุดหมายปลายทางของเราคือมิวนิค ใช่ไม๊ เราก็บอก ใช่ค่ะ เค้าก็สแตมป์  (อย่างแรง เสียงดังเชียว ) ไปที่พาสปอร์ต ละก็ชี้นิ้ว เราก็เดินไปตามที่เค้าชี้ ( แต่ก็ไม่ลืมรอน้องอีกคน ที่ต้องรอผ่าน ตม. หมือนกัน )  และแล้ว สองสาว ก็ไปเอากระเป๋าเดินทาง รอแป๊บนึง กระเป๋าเดินทางของเราออกมาเป็นใบแรกเลย อิอิ  พอได้กระเป๋าปุ๊บ อยากจะร้องไห้ กระเป๋าของฉัน มีรอยขูดขีด (ไอ้พนักงานมันไม่ปราณีกระเป๋าเราเลย ฮืออออ)

       ได้กระเป๋าเรียบร้อยก็เดินไปตามทางออก น้องคนที่มาด้วย แฟนเค้า พี่ชาย และหลานๆ มารอรับกัน แต่เราซิ ไอ้แฟนตัวดี ไหนบอก ออกมาปุ๊บ ก็เห็น เค้าจะรอตรงนี้ เราก็ อารมณ์เริ่มหงุดหงิด แต่ก็บอกตัวเอง เออ ใจเย็นๆ   หลังจากร่ำลาน้องที่มาไฟรด์เีดียวกันเรียบร้อย เราก็โทรศัพท์หาแฟนตัวดี พี่แกรับสาย เราถาม คุณอยู่ที่ไหน เขาบอก เขาอยู่ด้านนอก รับกระเป๋าเดินทางหรือยัง เราบอกเรียบร้อยแล้ว นี่รออยู่ตรงด้านหน้า ร้า่นสตาร์บัค เค้าก็บอก โอเค เค้าจะรีบมาหา เราก็นั่งรอ ... แป๊บนึง เห็นเขาเดินเข้าไปในร้านสตาร์บัค เราก็เฮ้อ ฉันบอก ฉันอยู่หน้าร้าน เราก็ตะโกนเรียก เค้าก็รีบเข้ามาหาเรา ... สุดท้าย เจอกันจนได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น