วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตในเยอรมันของฉันตอนนี้

             ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เกือบๆ เดือนนึงแล้ว ชีวิตของเราตอนนี้เรียกได้ว่าพักผ่อนอย่างแท้จริง   วันๆ แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน    งานหลักที่ต้องทำเป็นประจำหลังทานอาหารเช้านั่นก็คือ การเปิดคอมพิวเตอร์ และหน้าแรกของการออนไลน์แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหน้า Home ของเราเลยก็ว่าได้นั่นก็คือหน้า เฟซบุค    และก็คาหน้านั้นไว้ตลอด   จนกระทั่งถึงเวลาปิดเครื่องคอมพิวเตอร์    ซึ่งโดยปกติแล้วเฟซบุคก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยในแต่ละวัน   นอกจากนานๆ จะมีประเด็นของเพื่อนบางคนให้คอมเมนท์อย่างประปราย   แต่สิ่งที่ทำเป็นประจำนั่นก็คือ การดูรูปของเพื่อนๆ ที่โพสท์ไว้ตามโพรไฟด์ของตนเอง  เพื่อนๆ หลายคนมีรูปให้ดูอย่างมากมาย เรียกว่าดูกันไม่หวัด ไม่ไหว จนต้องเก็บเอาไว้ไปดูวันอื่นๆ ... บางครั้งก็ทำให้เราสงสัย  คนที่เป็นตากล้อง เค้าจะบ่นบ้างไม๊นะ รูปหนึ่งสถานที่ ถ่ายเป็นสิบๆ ช็อต ... อืม น่าเหนื่อยแทนตากล้องจริงๆ

          ส่วนงานรองของการใช้ชีวิตที่นี่นั่นก็คือ การทำอาหารให้คุณชาย (แฟนเราเอง) ทุ้กวัน โดยอาหารเช้าของท่านจะเป็น ช็อกโกแล็ตร้อนบ้าง เย็นบ้าง แล้วแต่ท่านต้องการ (อันนี้ต้องถามคุณชายทุกวัน ว่าท่านอยากทานแบบไหน)  ส่วนอาหารประกอบในมื้อเช้า เราจะเชิญคุณชายหารับประทานเอาเองตามอัธยาศัย เพราะว่าไม่รู้ใจท่าน บางวันท่านก็ทานมัฟฟิน บางวันท่านก็ทานขนมปัง ขนมปังก็มีหลากหลายแล้วแต่ท่านละกันว่าจะเลือกรับประทานแบบใด   แยมก็ช่นเดียวกัน เชิญท่านไปหยิบเองเพราะไม่ทราบว่ารสชาดใดที่ท่านต้องการ   ซึ่งแยมส่วนใหญ่ที่นี่ทำมาจากผลไม้เมืองหนาว พวกเชอรี่ สตรอเบอรี่ ลาสเบอรี่ เป็นต้น  ส่วนอาหารเช้าของเรานั้น ขึ้นอยู่กับความอยากในแต่ละวัน บางวันก็ทานแบบไทยๆ (พวกข้าวต้ม หมูหยอง ฯลฯ ) บางวันก็แบบฝรั่ง ( ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก ฯลฯ )

         มื้อกลางวัน เมนูส่วนใหญ่ที่เราทำก็จะเป็นอาหารไทย เพราะแฟนบอกว่ามันเฮลตี้ และดีต่อสุขภาพ เมนูหลักของเราตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั่นก็คือ แกงเขียวหวานไก่  ต้มยำทะเล  แกงจืด  ไข่เจียว และ ผัดผัก (ก็เราทำอาหารเป็นไม่กี่อย่างเองนี่ อยู่เมืองไทยก็กินกับครอบครัว หรือไม่ก็ซื้อกินเอา) แต่หลังๆเราเริ่มหาเมนูจากอินเทอร์เน็ตแล้ว เผื่อจะมีเมนูง่ายๆ ที่เราพอจะทำได้ แต่ต้องไม่ใช่อาหารที่มีเนื้อสัตว์มากๆ หรืออาหารทอด เพราะคุณชายเค้าไม่ค่อยชอบ เค้ารักสุขภาพ ไม่กินเนื้อสัตว์เยอะ และไม่กินของทอด ของมัน ... โชคดีที่เมืองที่เราอยู่ ( Nurnberg ) มีร้านขายของเอเซียอยู่หลายร้าน แฟนก็พาเราไปเลือกซื้อสิ่งที่เราต้องการ ( ก็เพื่อนำมาทำอาหารไทยให้คุณชายทานเองนั่นแหละ)  ซึ่งแต่ละเมนูเครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ ( โชคดีแฟนเราเป็นฝรั่งกินง่าย และก็ไม่รู้หรอกว่า อาหารที่เราปรุงนั้นมีเครื่องปรุงครบไม๊ หรืออรอ่ยรึเปล่า เห็นถามทีไร เค้าก็ตอบว่า เรา good cook ทุกที   แต่เราก็ว่าอาหารที่เราทำมันก็อร่อยดีนะ แม้ว่าบางครั้งรูปลักษณ์จะออกมาไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ ดูจืดๆ ไม่ค่อยมีสีสัน ยังไงบอกไม่ถูก  แต่รสชาดก็โอเคนะ และที่สำคัญเราและแฟนก็ท้องไม่ร่วง ยังคงมีความสุขกันดี ฮาาา

         มื้อเย็น  ส่วนใหญ่จะกินอาหารที่เหลือจากมื้อกลางวัน ( เช่นแกงเขียวหวานหรือต้มยำ ก็จะทำเป็นหม้อ เผื่อไว้เป็นมื้อเย็นด้วย จะได้ไม่ต้องทำ หลายหน แค่อุ่นให้ร้อนก็กินได้เลย ) และก็ผัดผักเพิ่ม (เพราะผัดร้อนๆ อร่อยกว่า ) แต่ถ้ามีโปรแกรมออกไปข้างนอก  ก็ไปกินมื้อเย็นข้างนอกกัน   แฟนเรามักจะพาเราไปพบปะผู้คนที่สร้างกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อพบปะสังสรรค์กันใน ตอนค่ำ เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเพื่อทานอาหารค่ำร่วมกัน ... เราแปลกใจทำไมต้องสร้างกลุ่มกันขึ้นมาใหม่ ทำไมไม่ไปกินอาหารกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงานเหมือนที่คนไทยทำ    คำตอบที่ได้ก็คือ คนบางคนก็ทำงานที่บ้าน ( เหมือนแฟนเรา )ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเพื่อพูดคุย หรือเจอคนใหม่ๆ   บางคนก็อยากจะคุยกับคนแปลกหน้าเพื่อหาเพื่อนใหม่ หรือบางคนก็ไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน (ถ้าไปกับเพื่อนร่วมงานก็คงหนีไม่พ้นหัวข้อการสนทนาเรื่องงาน เจ้านาย  เป็นต้น) หรือบางครั้งก็นัดกันมาเพื่อคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ  และอีกหลายๆ เหตุผล ซึ่งเราก็ว่าเป็นสิ่งที่ดีของการจัดกลุ่มแบบนี้ ( แต่เป้าหมายหลักที่ทำให้เราอยากมาเจอคนข้างนอกบ้านนั่นก็คือได้ไปกินมื้อ เย็นนอกบ้านนั่นเอง)

        ดิน ฟ้า  อากาศ  ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่นี่ แม้ว่าฝนจะตก แดดจะแรง หรือว่าหนาวสักแค่ไหน ดูเหมือนคนที่นี่พร้อมรับมือกับทุกสถานะการณ์  และไม่แคร์กับสภาพดิน ฟ้า อากาศ เอาเสียเลย (ความคิดเรานะ ถ้าพวกเค้าแคร์ ดิน ฟ้า อากาศ ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันเลย เพราะอากาศ ที่นี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางวันหนาวเชียว 16 องศา พอตอนสายๆ  ร้อนและ 25 องศา พอค่ำๆ ฝนตกอากาศเย็นลงเหลือ 14 องศา  เรียกว่า เสื้อผ้า 3 ฤดู ต้องเตรียมพร้อมใช้ในตู้กันเลยทีเดียว ) ดูได้จากการที่ร้านอาหารที่มีที่นั่งแบบ OpenAir มีลูกค้านั่งจิบเบียร์ เต็มแทบทุกร้าน ทุกคนต่างใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ  เพราะอากาศหนาวถึง 14 องศา (ถ้าเป็นเรา นั่งจิบเบียร์หรือ นอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่มานั่งทนหนาว ลมพัด โชยแบบนี้หรอก)  บางคนก็ยังทานไอศครีม ( หนึ่งในหลายๆคนที่ทานไอศครีมในช่วงอากาศ อุณหภูมิ 16 องศา  ก็คือเรา  อิอิ แต่มันเย็นชื่นใจจริงๆ นะ ทานเสร็จก็มานั่งหนาวยะเยือกในรถ ไม่รู้ทรมานตัวเองทำไม) แต่ดูเหมือนว่าเมื่อไหร่ที่ฝนตกแรงๆ ก็ดูจะมีอิทธิพลสร้างความเดือนร้อนให้ชาวเยอรมันอยู่บ้างเหมือนกัน  เพราะทำให้ลูกค้าน้อยลง และร้านอาหารต่างๆต้องเลื่อนเวลาปิดเร็วกว่าเวลาปกติ    พูดถึงร้านอาหารทำให้นึกถึงร้านค้า  ร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่คล้ายๆ กับ โลตัสเอ็กซ์เพรสของบ้านเรา  คือไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีบ้างที่เป็นร้านค้าใหญ่ๆ  ในร้านค้าก็จะมีของขายเกือบทุกอย่างที่จำเป็นแต่ไม่มีให้เลือกแบรนด์มากนัก ส่วนเสื้อผ้าขายบ้างนิดหน่อย  (น้อยมากแทบไม่มีให้เลือก) แต่ถ้าเป็นจำพวกผักสด ผลไม้สด  ควรซื้อที่ร้านที่ขายเฉพาะผักและผลไม้สดจะดีกว่า เพราะมีให้เลือกหลากหลายกว่าและสดกว่าด้วย  ร้านค้าเหล่านี้จะปิดเวลา 2  ทุ่ม และปิดวันอาทิตย์ด้วย ถ้าไม่ซื้ออาหารเตรียมไว้สำหรับวันอาทิตย์ ก็อาจจะหิวตายได้ ( อันนี้เราเว่อร์เอง)   ถ้ามีเงินก็ไปหาร้านอาหารทานได้เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เค้าเปิดให้บริการวัน อาทิตย์กัน  แต่คงเป็นเฉพาะร้านอาหารที่อยู่ในเมืองเท่านั้น


         ร้านเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ   ในตัวเมือง Nurnberg เขาจะมีเป็นแหล่งช้อปปิ้งตลอดเส้นถนน  แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็จะปิดวันอาทิตย์  เรียกได้ว่าวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปซื้ออะไร เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมด ( ฮืออออ แฟนพาเราเข้าเมืองทีไรเป็นวันอาทิตย์ทุกทีเลย ร้านค้าก็ปิดหมด.... มีตังค์แต่ไม่มีวาสนา ว่าอย่างงั้น)    มันเป็นเหมือนโชว์รูมตาม ห้างใหญ่ๆ ของบ้านเรา  แต่นำมาตั้งไว้ริมถนนให้เลือกช้อปกันอย่างจุใจ  แต่ว่าเงินในกระเป๋าคุณก็ต้องมีเยอะด้วยนะ  เรียกได้ว่าสินค้าแบรนด์เนม หรือ โนเนม ( เราไม่รู้จักแบรดน์นี้ ถือว่าโนเนมหมด ) ต่างก็มีราคาแพงเอาการอยู่เหมือนกัน  ราคาต่ำสุดคงประมาณ 250 บาทขึ้นไป (อาจจะเป็นถุงเท้า)  เสื้อผ้าทั่วไปพวกเสื้อยืดก็ตัวละ 1,250 บาทขึ้นไป ซึ่งก็แล้วแต่แบนรด์     เราเจอร้องเท้าแตะหนีบแบบธรรมดาราคาประมาณ 29 บาทที่เมืองไทย   แต่มันดันเป็นแบรนด์เนม เลยคู่ละเกือบ  2,100 บาท   โอ้วแม่เจ้า ไว้เป็นเศรษฐีนีก่อนนะแล้วจะถอยเอาไปใส่  ฮาาา

1 ความคิดเห็น: