เช้าวันแรกที่เยอรมัน ดันตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า
ก็เพราะด้วยความที่ร่างกายยังคงตื่นนอนตามเวลาปกติเหมือนตอนที่อยู่เมือง
ไทย เราก็พยายามนอนต่อจนกระทั่งหลับไปอีก ตื่นมาอีกที่เกือบ 9 โมง
ความรู้สึกหลังจากตื่นนอน เหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดช่วงฤดูหนาว
ยังไงยังงั้น อากาศที่นี่เย็นไปสักนิด สำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา ประมาณ 20
องศาต้นๆ เสื้อผ้าที่เอามาก็ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน (
ก็คุณแฟนคนดีของเราน่ะซิ บอก " ยูมาเยอรมันช่วงซัมเมอร์ อากาศจะร้อน
เอาเสื้อผ้าที่ยูใส่ที่เมืองไทยนั่นแหละมา ไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าหนาๆ
ให้เปลืองเงิน " เสื้อผ้าหนาๆ ที่เราเอามาก็มีแค่แจ็คเก็ต 2 ตัว
และแจ็คเก็ตยีนส์อีก 1 ตัวเท่านั้น)
อาหารเช้ามื้อแรกของเรา ช็อกโกแล็ตร้อน ขนมปัง 1 ชิ้น ทาทั้งเนยและแยม
ไส้กรอก 2 อัน และไข่ดาว (กินอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน) หลังจากอิ่มหมี
พลีมัน ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย สายๆ
อีกสักนิดก็เตรียมตัวไปเที่ยวข้างนอกเพื่อไปดู Bad Windsheim ( Open Air
Museum) หรือพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ
(อันนี้เราตั้งเองทำไมถึงตั้งชื่อนี้อ่านไปเรื่อยเดี๋ยวก็จะรู้เอง อิอิ )
อากาศตอนสายๆของวันนี้สดใส แดดไม่จัดมาก และไม่หนาวเหมือนตอนเช้า
สามารถใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนสั้นได้อย่างสบายๆ
(แต่ว่าเราก็ยังไม่วายที่จะทาครีมกันแดด
เพราะเนื่องจากเราเห็นแฟนทาครีมกันแดดที่หน้าผาก เราเลยทาบ้าง
แต่ทาทั้งตัวเลย อิอิ ... จริงๆ แล้วไม่กะจะทาครีมกันแดดหรอก
เพราะคิดว่าแดดเมืองนอกไม่หน้าจะทำให้ดำได้ แต่ผิดคาดค่ะ ทั้งๆ
ที่เราทาครีมกันแดดแล้วแต่สีผิวเราก็ยังไม่วายจะคล้ำลง
กะว่าจะมาชุบตัวขาวที่เมืองนอกซะหน่อย ฮือออ ) เมื่อไปถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์
มันเหมือนเป็นงานเทศกาล เพราะคนเยอะมาก มีทั้งมาเป็นกลุ่ม มาเป็นครอบครัว
จูงลูกจูงหลาน ลูกเด็กเล็กแดง (นอนอยู่ในรถเข็นแบเบาะก็ยังพากันมา)
รวมทั้งคนแก่คนเฒ่า หลายๆคนจูงสุนัขมาเที่ยวด้วย
เรียกว่ามางานเดียวสนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัว
ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นการแสดงบ้านแบบต่างๆ ของชาวนา คนปั่นด้าย คนตีเหล้ก
คนสานตระกร้า เป็นต้น ซึ่งก็คือพวกเกษตรกรนั่นเอง
บ้านส่วนใหญ่จะสร้างจากปูนซีเมนต์
ซึ่งผนังมีความหนาพอสมควรเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว
ลักษณะบ้านถ้าดูจากภายนอกจะเป็นบ้านหลังคาทรงสูงและกว้าง
เหมือนเป็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ แต่ความจริงแล้ว บริเวณหลังคานั่นแหละ
คือชั้นบนของบ้าน พื้นบ้านชั้นบนของบ้านบางหลังก็สร้างด้วยปูนซีเมนต์
บางหลังก็สร้างด้วยไม้ ซึ่งแบ่งเป็นห้องๆ ส่วนใหญ่จัดเป็นห้องนอน
ตลอดจนห้องนั่งเล่น ส่วนชั้นล่างของบ้านจะสร้างด้วยปูนซีเมนต์
ซึ่งแยกกันเป็นห้องๆ อย่างเป็นสัดส่วน
ห้องหนึ่งไว้สำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการทำงานเกษตร เช่นจอบ เสียม
ตลอดจนอุปกรณ์พวก บังเหียนม้า เกือกม้า เป็นต้น ส่วนห้องอื่นๆ
ก็เป็นห้องครัว เป็นห้องน้ำ ....
หลังคาของบ้านส่วนใหญ่มุงด้วยกระเบื้อง แต่บางหลังมุงด้วยฟาง(
มันดูเหมือนฟางแห้ง หรือไม่ก็เป็นหญ้าแห้งต้นใหญ่ๆ )
ทุกห้องล้วนมีฮีทเตอร์ เพื่อสร้างความอบอุ่น ในช่วงฤดูหนาว
แต่แปลกใจตรงเตียงนอน ทำไมมันสั้นและแคบจัง ดูแล้วไม่น่าจะนอนสบาย (
คำตอบจากแฟนก็คือ ในอดีตคนส่วนใหญ่รูปร่างไม่สูงใหญ่เหมือนในปัจจุบัน
ประกอบกับเค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงาน นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง
จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเตียงใหญ่ นุ่มสบายเหมือนเตียงนอนของคนยุคปัจจุบัน )
เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ล้วนทำจากไม้เป็นหลัก
แต่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบัน แต่ดูจะแข็งแรงทนทานมากกว่า
เพราะทำจากไม้ทั้งชิ้น อ้อ ส่วนของบ้านที่เป็นไม้ มักจะใช้ไม้ทั้งดุ้น
เหมือนซุงผ่าซีก และก็สอดเข้าด้วยกัน เพราะไม่ค่อยเห็นน็อต หรือตะปู
จะมีบ้าง ก็จะเป็นน็อตหรือตะปูไซด์ใหญ่มากๆ
แต่ก็แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเพื่อยึดบ้านไว้ให้อยู่ทรง นอกจากนั้น
ยังมีการแสดงโชว์การทอผ้าจากขนสัตว์ การสานตระกร้า การตีเหล็ก การหมักวาย
เป็นต้น ให้เราได้เดินชมกันอีกด้วย ตลอดจนการแสดงกลางแจ้ง
สับเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงดนตรี ของเด็กๆ
แต่ฝีมือไม่เด็กนะคะ เค้าแสดงกันจริงๆ จังๆ เลยทีเดียว
มีคณะออเครสต้าเด็กอยู่คณะหนึ่ง กำลังทำการแสดงกันอยู่ดีดี ฝนก็ดันตก
ผู้ชมต่างหลบฝนตามชายคาของบ้านที่อยู่บริเวณนั้นๆ แต่พวกเด็กๆ เหล่านี้
ก็ยังคงแสดงต่อไปไม่หยุด ( หรือว่าคุณครู
ผู้ควบคุมวงที่ทำหน้าที่เป็นคอนดักเตอร์ ไม่ยอมให้หยุดก็ไม่รู้ )
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกับการตระเวณดูบ้านหลังโน้น หลังนี้ เราก็เริ่มหิว
เริ่มมองหาของกินก็ไปเจอร้านขายอาหาร ไม่รู้เรียกว่าอะไร
แต่คนซื้อเข้าคิวรอกันเป็นแถว เพราะมันสะดวก ไม่ต้องนั่งกินเหมือนร้านอื่นๆ
ที่อยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ สามารถซื้อและถือเดินกินได้เลย
มันคล้ายกับฮอทดอก แต่ไส้กรอกนั้นยาวเลยขนมปังไปเยอะมากกก (
เราปรารถนามานานแล้วอยากได้ฮอทดอก แบบนี้ เพราะเวลาซื้อฮอทดอกที่เมืองไทย
ไส้กรอกมันอันเล็กกินไม่สะใจ กินไส้กรอกที่นี่สะใจมากกว่า )
ส่วนซอสขวดปั๊มก็มีให้เลือกแค่ 2 ขวด ขวดหนึ่งคือซอสมะเขือเทศ
อีกขวดคือมัสตาด แต่เราใส่แค่ซอสมะเขือเทศเพราะไม่ชอบกินมัสตาด
ส่วนไส้กรอกที่ใส่นี่ไม่เหมือนไส้กรอกของบ้านเรานะ เพราะมันเป็นไส้กรอกสด
แล้วเอามาย่าง รสชาดก็ต่างกันด้วย (เราชอบรสชาดไส้กรอกที่เมืองไทยมากกว่า )
แต่ก็กินจนหมด (ไม่รู้เพราะความหิว หรือ อร่อย) ระหว่างยืนกินเกือบเสร็จ
ฝนก็ดันมาตก เราก็เลยไปไกลจากร้านขายฮอทดอกนี้ไม่ได้
และฝนก็ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตกลงมาเป็นลูกเห็บ ( ก้อนน้ำแข็งกลมๆ
เล็กๆ) อากาศตอนนั้นหนาวมากประกอบกับเราไม่ได้เอาแจ็คเก็ตไปเลย
เพราะไม่คิดว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้
คาดว่าต้องกลับไปป่วยที่บ้านแน่ๆ ( แต่ก็ไม่ยักกะป่วยแฮะ
หรืออาจเป็นเพราะอากาศที่นี่เค้าดี ฝนที่ตกลงมาจึงไม่ค่อยสกปรกมาก
ไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทยแค่โดนละอองฝนนิดเีดียว ก็ไม่สบาย
บางครั้งกินยาก็ไม่หาย ต้องไปหาหมอกันเลยทีเดียว )
ยืนรอบริเวณร้านขายฮอทดอกนานเกือบชั่วโมง จนฝนเริ่มซา คนเริ่มเดินลุยฝน
เราก็ลุยบ้าง อากาศตอนนั้นหนาวมาจนกทนไม่ไหว
พวกเราจึงพาไปหลบในบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น
สักพักฝนก็ตกลงมาอีก แม้ว่าฝนตกหนัก และอากาศจะหนาวเย็นจนยะเยือกหัวใจ
(ของคนเอเซียอย่างเรา)
แต่เมื่อเดินเข้าไปในบ้านร่างกายเรารู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาทันที
ทั้งที่บ้านไม่ได้เปิดฮีทเตอร์ เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน
เสียงฝนตกหรือเสียงคนพูดคุยจากภายนอก
ก็แทบจะไม่ได้ยินเลยเนื่องจากปิดหน้าต่าง (
คนยุโรปเค้าสร้างบ้านได้อย่างมั่นคง
และป้องกันผู้อยู่อาศัยให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ )
หลังจากฝนหยุดตกอารมณ์ของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ก็หมดลง
ด้วยความคิดที่ว่าบ้านแต่ละหลังก็สไตล์เดียวกัน
แต่เราว่าเหตุผลที่เราหมดสนุก น่าจะเป็นเพราะความหนาวมากกว่า
เพราะพอเราเดินพ้นประตูบ้านเท่านั้นแหละ ตัวชาเลย ความหนาวกลับมาอีกแล้ว
ประกอบกับเสื้อผ้า และผมที่ชื้นจากการเปียกน้ำฝนด้วย เลยบอกแฟน
กลับบ้านดีกว่า ไม่อยากดูแล้ว แฟนก็พากลับ ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน
อากาศในรถทำให้เราอุ่นขึ้น อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้น
ก็เลยพากันตระเวณเที่ยวที่อื่นต่อ
ส่วนใหญ่คงเป็นการพาดูทิวทัศน์ของบ้านเมืองแถบนั้น
และที่ขาดไม่ได้คือการพาเราเข้าไปดูภายในโบสถ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย (
ก็คล้ายๆ วัดในเมืองไทยซึ่งมีให้เห็นกันทุกที่)
โบสถ์ที่นี่ก็มีลักษณะคล้ายๆ กันต่างกันตรงความสวยงามของปฏิมากรรม ภาพวาด
รูปปั้นต่างๆ ความเก่าแก่ และความใหญ่โตของแต่ละโบสถ์
เมื่อเข้าไปด้านในจะไม่ค่อยมีแสงไฟ จะมีก็แค่แสงเทียน
และแสงจากภายนอกส่องผ่านกระจกของโบสถ์ ซึ่งทำให้โบสถ์ดูจะสลัวๆ
ทำให้ถ่ายรูปยาก กล้องดิจิตอลของเราก็เป็นกล้องแบบพื้นๆ ถ่ายไม่ค่อยชัด
ไม่สวยสักเท่าไหร่ (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีกล้องเสียเลย
เพราะเราคงไม่สามารถเก็บความทรงจำได้ทั้งหมด มีภาพไว้ดู ถึงมันจะไม่ชัดมาก
แต่ก็สามารถช่วยนรื้อฟื้นความทรงจำ ในช่วงเวลานั้นๆ ของเราได้เหมือนกัน
... อันนี้พูดปลอบใจตัวเอง )
ชอบคับไว้มาอ่านอีก
ตอบลบ