วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ

              เช้าวันแรกที่เยอรมัน ดันตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก็เพราะด้วยความที่ร่างกายยังคงตื่นนอนตามเวลาปกติเหมือนตอนที่อยู่เมือง ไทย   เราก็พยายามนอนต่อจนกระทั่งหลับไปอีก   ตื่นมาอีกที่เกือบ 9 โมง    ความรู้สึกหลังจากตื่นนอน เหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดช่วงฤดูหนาว ยังไงยังงั้น อากาศที่นี่เย็นไปสักนิด  สำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา  ประมาณ 20 องศาต้นๆ เสื้อผ้าที่เอามาก็ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน ( ก็คุณแฟนคนดีของเราน่ะซิ บอก " ยูมาเยอรมันช่วงซัมเมอร์ อากาศจะร้อน เอาเสื้อผ้าที่ยูใส่ที่เมืองไทยนั่นแหละมา ไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าหนาๆ ให้เปลืองเงิน " เสื้อผ้าหนาๆ ที่เราเอามาก็มีแค่แจ็คเก็ต 2 ตัว และแจ็คเก็ตยีนส์อีก 1 ตัวเท่านั้น)

               อาหารเช้ามื้อแรกของเรา  ช็อกโกแล็ตร้อน ขนมปัง 1 ชิ้น ทาทั้งเนยและแยม ไส้กรอก 2 อัน และไข่ดาว (กินอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน)  หลังจากอิ่มหมี พลีมัน ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย สายๆ อีกสักนิดก็เตรียมตัวไปเที่ยวข้างนอกเพื่อไปดู Bad Windsheim ( Open Air Museum) หรือพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ (อันนี้เราตั้งเองทำไมถึงตั้งชื่อนี้อ่านไปเรื่อยเดี๋ยวก็จะรู้เอง อิอิ )  อากาศตอนสายๆของวันนี้สดใส แดดไม่จัดมาก และไม่หนาวเหมือนตอนเช้า สามารถใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนสั้นได้อย่างสบายๆ (แต่ว่าเราก็ยังไม่วายที่จะทาครีมกันแดด  เพราะเนื่องจากเราเห็นแฟนทาครีมกันแดดที่หน้าผาก  เราเลยทาบ้าง แต่ทาทั้งตัวเลย อิอิ   ... จริงๆ แล้วไม่กะจะทาครีมกันแดดหรอก เพราะคิดว่าแดดเมืองนอกไม่หน้าจะทำให้ดำได้ แต่ผิดคาดค่ะ  ทั้งๆ ที่เราทาครีมกันแดดแล้วแต่สีผิวเราก็ยังไม่วายจะคล้ำลง  กะว่าจะมาชุบตัวขาวที่เมืองนอกซะหน่อย  ฮือออ ) เมื่อไปถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์ มันเหมือนเป็นงานเทศกาล เพราะคนเยอะมาก มีทั้งมาเป็นกลุ่ม มาเป็นครอบครัว จูงลูกจูงหลาน ลูกเด็กเล็กแดง (นอนอยู่ในรถเข็นแบเบาะก็ยังพากันมา) รวมทั้งคนแก่คนเฒ่า หลายๆคนจูงสุนัขมาเที่ยวด้วย เรียกว่ามางานเดียวสนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัว

             ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นการแสดงบ้านแบบต่างๆ ของชาวนา คนปั่นด้าย คนตีเหล้ก คนสานตระกร้า เป็นต้น ซึ่งก็คือพวกเกษตรกรนั่นเอง     บ้านส่วนใหญ่จะสร้างจากปูนซีเมนต์ ซึ่งผนังมีความหนาพอสมควรเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว  ลักษณะบ้านถ้าดูจากภายนอกจะเป็นบ้านหลังคาทรงสูงและกว้าง เหมือนเป็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ แต่ความจริงแล้ว บริเวณหลังคานั่นแหละ คือชั้นบนของบ้าน    พื้นบ้านชั้นบนของบ้านบางหลังก็สร้างด้วยปูนซีเมนต์      บางหลังก็สร้างด้วยไม้  ซึ่งแบ่งเป็นห้องๆ  ส่วนใหญ่จัดเป็นห้องนอน ตลอดจนห้องนั่งเล่น   ส่วนชั้นล่างของบ้านจะสร้างด้วยปูนซีเมนต์  ซึ่งแยกกันเป็นห้องๆ อย่างเป็นสัดส่วน    ห้องหนึ่งไว้สำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการทำงานเกษตร เช่นจอบ เสียม ตลอดจนอุปกรณ์พวก บังเหียนม้า เกือกม้า เป็นต้น  ส่วนห้องอื่นๆ ก็เป็นห้องครัว  เป็นห้องน้ำ   ....   หลังคาของบ้านส่วนใหญ่มุงด้วยกระเบื้อง แต่บางหลังมุงด้วยฟาง( มันดูเหมือนฟางแห้ง หรือไม่ก็เป็นหญ้าแห้งต้นใหญ่ๆ ) ทุกห้องล้วนมีฮีทเตอร์  เพื่อสร้างความอบอุ่น ในช่วงฤดูหนาว แต่แปลกใจตรงเตียงนอน ทำไมมันสั้นและแคบจัง ดูแล้วไม่น่าจะนอนสบาย ( คำตอบจากแฟนก็คือ ในอดีตคนส่วนใหญ่รูปร่างไม่สูงใหญ่เหมือนในปัจจุบัน ประกอบกับเค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงาน นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเตียงใหญ่  นุ่มสบายเหมือนเตียงนอนของคนยุคปัจจุบัน ) เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ล้วนทำจากไม้เป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบัน แต่ดูจะแข็งแรงทนทานมากกว่า เพราะทำจากไม้ทั้งชิ้น อ้อ ส่วนของบ้านที่เป็นไม้ มักจะใช้ไม้ทั้งดุ้น เหมือนซุงผ่าซีก และก็สอดเข้าด้วยกัน เพราะไม่ค่อยเห็นน็อต หรือตะปู จะมีบ้าง ก็จะเป็นน็อตหรือตะปูไซด์ใหญ่มากๆ แต่ก็แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเพื่อยึดบ้านไว้ให้อยู่ทรง  นอกจากนั้น ยังมีการแสดงโชว์การทอผ้าจากขนสัตว์  การสานตระกร้า การตีเหล็ก การหมักวาย  เป็นต้น ให้เราได้เดินชมกันอีกด้วย  ตลอดจนการแสดงกลางแจ้ง สับเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ     ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงดนตรี ของเด็กๆ แต่ฝีมือไม่เด็กนะคะ เค้าแสดงกันจริงๆ จังๆ เลยทีเดียว มีคณะออเครสต้าเด็กอยู่คณะหนึ่ง กำลังทำการแสดงกันอยู่ดีดี  ฝนก็ดันตก ผู้ชมต่างหลบฝนตามชายคาของบ้านที่อยู่บริเวณนั้นๆ   แต่พวกเด็กๆ เหล่านี้ ก็ยังคงแสดงต่อไปไม่หยุด ( หรือว่าคุณครู ผู้ควบคุมวงที่ทำหน้าที่เป็นคอนดักเตอร์  ไม่ยอมให้หยุดก็ไม่รู้ )

                เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกับการตระเวณดูบ้านหลังโน้น หลังนี้ เราก็เริ่มหิว เริ่มมองหาของกินก็ไปเจอร้านขายอาหาร ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่คนซื้อเข้าคิวรอกันเป็นแถว เพราะมันสะดวก ไม่ต้องนั่งกินเหมือนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑ์    สามารถซื้อและถือเดินกินได้เลย    มันคล้ายกับฮอทดอก    แต่ไส้กรอกนั้นยาวเลยขนมปังไปเยอะมากกก  ( เราปรารถนามานานแล้วอยากได้ฮอทดอก แบบนี้ เพราะเวลาซื้อฮอทดอกที่เมืองไทย ไส้กรอกมันอันเล็กกินไม่สะใจ กินไส้กรอกที่นี่สะใจมากกว่า )   ส่วนซอสขวดปั๊มก็มีให้เลือกแค่ 2 ขวด ขวดหนึ่งคือซอสมะเขือเทศ อีกขวดคือมัสตาด   แต่เราใส่แค่ซอสมะเขือเทศเพราะไม่ชอบกินมัสตาด ส่วนไส้กรอกที่ใส่นี่ไม่เหมือนไส้กรอกของบ้านเรานะ  เพราะมันเป็นไส้กรอกสด แล้วเอามาย่าง รสชาดก็ต่างกันด้วย (เราชอบรสชาดไส้กรอกที่เมืองไทยมากกว่า ) แต่ก็กินจนหมด (ไม่รู้เพราะความหิว หรือ อร่อย)  ระหว่างยืนกินเกือบเสร็จ  ฝนก็ดันมาตก  เราก็เลยไปไกลจากร้านขายฮอทดอกนี้ไม่ได้ และฝนก็ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตกลงมาเป็นลูกเห็บ ( ก้อนน้ำแข็งกลมๆ เล็กๆ) อากาศตอนนั้นหนาวมากประกอบกับเราไม่ได้เอาแจ็คเก็ตไปเลย เพราะไม่คิดว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ คาดว่าต้องกลับไปป่วยที่บ้านแน่ๆ ( แต่ก็ไม่ยักกะป่วยแฮะ  หรืออาจเป็นเพราะอากาศที่นี่เค้าดี ฝนที่ตกลงมาจึงไม่ค่อยสกปรกมาก  ไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทยแค่โดนละอองฝนนิดเีดียว ก็ไม่สบาย บางครั้งกินยาก็ไม่หาย   ต้องไปหาหมอกันเลยทีเดียว )  ยืนรอบริเวณร้านขายฮอทดอกนานเกือบชั่วโมง จนฝนเริ่มซา คนเริ่มเดินลุยฝน เราก็ลุยบ้าง  อากาศตอนนั้นหนาวมาจนกทนไม่ไหว พวกเราจึงพาไปหลบในบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น   สักพักฝนก็ตกลงมาอีก  แม้ว่าฝนตกหนัก และอากาศจะหนาวเย็นจนยะเยือกหัวใจ (ของคนเอเซียอย่างเรา) แต่เมื่อเดินเข้าไปในบ้านร่างกายเรารู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาทันที  ทั้งที่บ้านไม่ได้เปิดฮีทเตอร์  เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน เสียงฝนตกหรือเสียงคนพูดคุยจากภายนอก ก็แทบจะไม่ได้ยินเลยเนื่องจากปิดหน้าต่าง  ( คนยุโรปเค้าสร้างบ้านได้อย่างมั่นคง และป้องกันผู้อยู่อาศัยให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ  )

               หลังจากฝนหยุดตกอารมณ์ของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ก็หมดลง  ด้วยความคิดที่ว่าบ้านแต่ละหลังก็สไตล์เดียวกัน แต่เราว่าเหตุผลที่เราหมดสนุก น่าจะเป็นเพราะความหนาวมากกว่า   เพราะพอเราเดินพ้นประตูบ้านเท่านั้นแหละ ตัวชาเลย ความหนาวกลับมาอีกแล้ว ประกอบกับเสื้อผ้า และผมที่ชื้นจากการเปียกน้ำฝนด้วย  เลยบอกแฟน กลับบ้านดีกว่า ไม่อยากดูแล้ว  แฟนก็พากลับ  ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน อากาศในรถทำให้เราอุ่นขึ้น อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้น  ก็เลยพากันตระเวณเที่ยวที่อื่นต่อ ส่วนใหญ่คงเป็นการพาดูทิวทัศน์ของบ้านเมืองแถบนั้น และที่ขาดไม่ได้คือการพาเราเข้าไปดูภายในโบสถ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ( ก็คล้ายๆ วัดในเมืองไทยซึ่งมีให้เห็นกันทุกที่) โบสถ์ที่นี่ก็มีลักษณะคล้ายๆ กันต่างกันตรงความสวยงามของปฏิมากรรม ภาพวาด รูปปั้นต่างๆ ความเก่าแก่ และความใหญ่โตของแต่ละโบสถ์   เมื่อเข้าไปด้านในจะไม่ค่อยมีแสงไฟ จะมีก็แค่แสงเทียน และแสงจากภายนอกส่องผ่านกระจกของโบสถ์ ซึ่งทำให้โบสถ์ดูจะสลัวๆ ทำให้ถ่ายรูปยาก กล้องดิจิตอลของเราก็เป็นกล้องแบบพื้นๆ ถ่ายไม่ค่อยชัด ไม่สวยสักเท่าไหร่ (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีกล้องเสียเลย   เพราะเราคงไม่สามารถเก็บความทรงจำได้ทั้งหมด มีภาพไว้ดู  ถึงมันจะไม่ชัดมาก แต่ก็สามารถช่วยนรื้อฟื้นความทรงจำ  ในช่วงเวลานั้นๆ ของเราได้เหมือนกัน  ... อันนี้พูดปลอบใจตัวเอง  )





1 ความคิดเห็น: