วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กลับเมืองไทย ( ด้วยไฟรด์ น้อง ๆ นรก )

                      ได้เวลากลับเมืองไทยแล้วซินะ เช้าวันที่ 1 กันยายน 2554 เวลาประมาณเที่ยง เริ่มเดินทางไปสนามบินมิวนิค ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม.  ตอนออกจากบ้านอากาศดี๊ดี 24 องศา แต่พอขับรถไปสักพัก ฝนเริ่มโปรย และกลายเป็นตกหนัก แต่จนแล้วจนรอดก็มาถึงมิวนิค ที่สนามบินมิวนิคปกติแล้วไม่รู้ว่ามีกี่สายการบิน แต่เท่าที่ดูก็เห็นแค่ สายการบิน Lufthansa เท่านั้นที่ทำหน้าที่รับเช็คอิน อ้อลืมบอกไป เราใช้เวลาชั่งกระเป๋าเดินทางอยู่หลายรอบ(ชั่งเครื่องชั่งน้ำหนักที่บ้าน แฟน)เนื่องจากสัมภาระที่นำมาจากเมืองไทยก็เยอะอยู่แล้ว ประกอบกับเสื้อผ้า รองเท้าที่ซื้อเพิ่ม และของฝากอีก ปรากฏว่าน้ำหนักรวมแล้ว ประมาณ 30 กิโลกรัม แต่สายการบินเค้าให้แค่ 24 กิโลกรัม ทำยังไงละที่นี้ เราก็เลยต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมของแฟนเพื่อเป็นกระเป๋าที่สามารถนำ ขึ้นบินได้ ( ปรากฏว่าฉันต้องแบกกระเป๋าน้ำหนักเกือบ 5 กิโลกรัมไปทุกแห่งหน เซ็งจริงๆ )  หลังจากเช็กอินเรียบร้อย แฟนเราก็ดีจริงๆ อยากจะอยู่กับเราให้นานที่สุด ถึงขนาดไปขอร้องเจ้าหน้าที่สายการบินว่าขอไปส่งเราข้างใน แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เราสองคนก็เลยอยู่ข้างนอกจนถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเครื่อง แฟนเราก็เลยได้แค่มาส่งตรงบริเวณที่เค้าตรวจอาวุธ ว่าซุกซ่อนในกระเป๋าหรือร่างกายเราหรือไม่ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร )    ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องบิน ใช้เวลานานพอสมควร ไม่รู้เครื่องบินสายการบินอียิปต์แอร์ กัปตันขับหลงหรืออย่างไร ไม่มาซะที   แต่แล้วก็มาจนได้เราได้นั่งที่ติดทางเดิน ที่นั่ง 30 H ( Gate H 30 ที่นั่ง 30 H จำง่ายดี อิอิ ) เนื่องจากแฟนไม่สามารถจองที่นั่งริมหน้าต่างได้ ( ยังไม่เข็ด ยังอยากนั่งริมน่าต่างอยู่ ) เราก็นั่งเรียบร้อย สักพักมีวัยรุ่นชาวเยอรมันชายหญิงคู่หนึ่ง (เราเห็นพวกเขาตั้งแต่อยู่ใน Gate แล้ว น่ารักดี) เดินมาเราจำได้ก็เลยมอง น้องผู้ชายบอกกับเราว่า นั่นที่นั่นของผมครับ เรานึกในใจ มาบอกฉันทำไม  แต่นึกขึ้นได้ อ้อ เราต้องลุก   เราก็ลุกให้พวกเขานั่ง น้องผู้หญิงนั่งติดริมน่าต่าง และก็น้องผู้ชาย

                        เที่ยวบินนี้คนเยอะ เกือบเต็มลำเลยที่เดียว เรายอมทนไม่เข้าห้องน้ำเลย ตลอด 4 ชั่วโมง เพราะคนเข้าคิวเข้าห้องน้ำกันไม่ขาดระยะ  อ้อเกือบทะเลาะกับพวกอาหรับบนเครื่องซะแล้ว เนื่องจากเราจะปรับเบาะให้สามารถเอนหลังได้ แต่ดันมีคนเคาะไม่ให้ปรับ เพราะสามีของหล่อนตัวใหญ่ นั่งอยู่ด้านหลังเรา เราก็เออ เดี๋ยวรอดูคนอื่นก่อน ถ้าเค้าปรับได้ ฉันก็ต้องปรับได้ เสียเงินเท่ากันจะมาให้ฉันนั่งหลังตรงคนเดียว ฉันไม่ยอมอย่างน้อยก็ต้องเท่ากับน้องฝรั่งที่นั่งข้างๆ ฉัน  เราก็ค่อยๆ ปรับทีละนิด ๆ ให้เท่ากับน้องฝรั่ง  แต่ดูๆ แล้วก็ปรับเบาะกันได้แค่คนละนิด ละหน่อย เพราะที่มันแคบ ... ต้องทำใจ ไม่ได้ซื้อตั๋วเฟิรส์คลาสนี่ 

                        และแล้วก็ถึง ไคโร พอลงจากเครื่องบินก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆ พวกเขาเดินไปขึ้นรถบัส เราก็ขึ้นตาม แล้วรถบัสก็ขับวนมาจอดที่สนามบิน  และเราก็เดินตามชาวบ้านเขาไปประกอบกับมองป้ายว่าเราจะไปต่อเครื่องบินเพื่อ มาเมืองไทย เค้าไปทางไหน สุดท้ายก็งงค่ะ  บางคนเลี้ยวไปทางโน้น บางคนเลี้ยวมาทางนี้   และเพื่อความแน่ใจเลยถามเจ้าหน้าที่ เค้าก็ชี้ให้เราเข้าไปแผนกตรวจเอกสารอีกครั้ง  หลังจากตรวจเอกสารเรียบร้อย  แล้วเราก็ไปเข้าห้องน้ำ ( เนื่องจากอั้นมานาน)  การรอเปลี่ยนไฟรด์ครั้งนี้ใช้เวลานานมาก ตามโปรแกรมต้องบิน ประมาณ 23.30 น. แต่ไฟรด์ดันดีเลย์ ต้องรอต่อไปเรื่อยๆ ตอนแรกป้ายบอกแค่ ครึ่งชั่วโมง  พอสักพักไปดูป้าย เลื่อนไปเป็น 1 ชั่วโมง พอสักพักไปดูป้ายอีกที เลื่อนไปอีก เป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง ไอ้เราก็เริ่มหิวน้ำทำยังไงดี ไม่อยากซื้ออะไรกินหรอก เพราะรู้ว่าของแพง ประกอบกับไม่มีเงินสกุลที่คนอียิปต์เค้าใช้กัน แต่เอาวะ หิวน้ำมาก  ก็เลยไปหยิบขวดน้ำมา 1 ขวด บ้านเราก็ประมาณ 7 บาท เป็นน้ำธรรมดา ไม่ใช่น้ำแร่ เราก็ถือไปหาพนักงานแล้วบอกว่าน้ำขวดนี้ราคาเท่าไร แต่ฉันมีแต่เงินยูโร  ปรากฏว่าพนักงานชาวอียิปต์บอก 1 ยูโร ครึ่ง ฮ้า ฉันฟังผิดไปป่าวเนี่ย เท่าไหร่นะ ฉันถามอีกรอบ เค้าก็ตอบแบบเดิม เรานึก 1 ยูโร เท่ากับ 44 บาท  1 ยูโรครึ่ง ก็ 60กว่าบาท เออเก็บไว้กินเองเถอะ เราก็บ่นกับตัวเอง แต่ตั้งใจให้เค้าได้ยิน " แพง ไม่ซื้อแล้ว" แล้วก็ตั้งขวดน้ำไว้ตรงนั้นแหละ  คนเราสามารถขาดน้ำได้เป็นวันๆ นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าเราจะตายก็ให้มันรู้ไป แล้วก็เดินหาที่นั่งพัก โชคดีมีแอ๊บเปิ้ล และ ขนมปังไส้กรอกติดกระเป๋ามาด้วย ก็เลยช่วยประทังความหิวได้บ้าง ส่วนเรื่องน้ำ เราอมลูกอมรสมิ้นเอา ช่วยได้นิดนึง

                      รอแล้วรอเล่าก็ไม่เรียกให้เข้า Gate ซะที  (  Gate 08 ที่นั่ง 44 A ริมหน้าต่าง อิอิ สมใจ) เนื่องจากเครื่องดีเลย์ ทำให้ผู้โดยสารเสียเวลาทางสายการบินจึงมอบน้ำดื่มกระป๋อง เป็นการตอบแทน  ( เรานึกในใจ น่าจะให้น้ำดื่มตั้งนานแล้ว หิวน้ำจะแย่ )  และแล้วการรอคอยก็มาถึง เราก็ไปนั่งที่ของเราบนเครื่อง รอสักพักเหมือนผู้โดยสารทุกคนขึ้นเครื่องหมดแล้ว เราดีใจมากเพราะบริเวณที่นั่งเรา ซึ่งมีด้วยกัน 3 ที่นั่งนั้นว่าง อดคิดในใจไม่ได้ว่า โอ้ว ที่ตรงนี้เป็นของเราอีกแล้วเหรอเนี่ย จะได้นอนสบายอีกแล้วเหรอ ดีจริงๆ เลย  ( เรายิ้มกับตัวเอง)
                    
                    แต่แล้วความสุขของเราก็พังทลายเมื่อมีประชาชนชาวมุสลิมจำนวนมากมาย ขึ้นมาบนเครื่องจนเต็ม พวกเค้าเป็นคณะแสวงบุญ จากประเทศไทย และมาเลย์เซีย  มาอยู่อียิปต์ เป็นเวลา 1  เดือน วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาเดินทางกลับกันพอดี  ( อะไรจะเฮงได้ขนาดนี้ )  ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เราเป็นคนไทย  แต่เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสายการบินจึงอนุญาตให้เอากระเป๋าเดินทาง ล้อลากขนาดปานกลาง แต่น้ำหนักเยอะ ขึ้นเครื่องได้  (ไม่ได้ชั่งน้ำหนักหรืออย่างไร) เพราะพี่คนนั้นเค้าเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนที่ไว้กระเป๋าเหนือศีรษะไม่ได้ยก ไม่ไหว มันหนัก  เขาก็เลยขอร้องให้ผู้ชายฝรั่งผิวดำที่นั่งอยู่บริเวณนั้นช่วย ขนาดผู้ชายนะ แถมเป็นฝรั่งด้วย ยังยกประเป๋าพี่แกแทบไม่ไหว คิดดูเถอะแสดงว่าน้ำหนักมันต้องมากโขอยู่  

                 ตลอด 8 ชม. เราไม่ได้หลับเลย เพราะนั่งหลับไม่เป็น ประกอบกับแอร์คอนดิชั่นบนเครื่องบินก็ร้อน ( สันนิษฐานว่า คนมันเยอะ ก็เลยทำให้แอร์ไม่เย็น )   ดูหนังจบไป 2 เรื่อง ( ดูไปงั้นๆ ไม่ได้สนใจ แค่ฆ่าเวลา) เล่นเกมส์นิดหน่อย เพราะเป็นคนไม่ชอบเล่นเกมส์  เพลงบนเครื่องก็ไม่ได้เรื่องเลย มีหลากหลายประเภทจริง ทั้งคลาสสิค ร็อค  แต่เราไม่ชอบเลย  ดีนะเรามี MP 3  ช่วยเราได้มากที่เดียว   เนื่องจากคนบนเครื่องบินเยอะมาก  แต่พนักงานต้อนรับ มีแค่ 4 คน การบริการจึงเป็นไปด้วยความลำบาก  อาหารและเครื่องดื่มก็ได้ช้า  แต่ที่น่ารำคาญมากคือการเข้าห้องน้ำ เรายอมอั้น(อีกแล้ว) จนทนไม่ไหว และต้องจำใจเข้าเพราะห้องน้ำสกปรกมาก

                  หลายชั่วโมงผ่านไป (เราภาวนาให้ถึงกรุงเทพเร็วๆ ทีเถอะ กัปตัน ช่วยบินเร็วหน่อยได้ไม๊)  หลังจากพนักงานต้อนรับให้เปิดหน้าต่าง และเริ่มแจกอาหาร เราก็รู้ได้ว่า การรอคอยของเราใกล้สิ้นสุดแล้ว  หลังจากทานอาหารเรียบร้อย  เรามองหน้าต่างบ่อยมาก   พอเริ่มเห็นพื้นดินเรารู้สึกดีใจที่ได้กลับไทย  แต่รู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่จะได้พ้นจาก... ตรงนี้ซะที   และแล้วก็แลนด์ดิ้งด้วยความปลอดภัย


                 หลังจากเครื่องหยุดสนิท คนเริ่มลุก เราก็ลุกด้วยความรวดเร็วเพื่อจะได้ออกจากเครื่องให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาติดอยู่ที่ประตูไม่เปิด ผู้โดยสารต่างเอาสัมภาระของตัวเองออกจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ ทำให้ช่องทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่หอบสัมภาระพะรุงพะรัง  เราก็หงุดหงิดเพราะเครื่องดีเลย์ พี่สาว 2 คนที่มารอเค้าไม่รู้ว่าเครื่องดีเลย์ มารอกันตั้งแต่ 11 โมง ( กลัวรถติดเลยออกกันแต่เช้าเพราะตามแพลนต้องมาถึงไทย บ่าย 2 ครึ่ง แต่เครื่องดันถึง 4 โมง)  อารมณ์เริ่มหงุดหงิดประกอบกับมีป้าคนนึง ดันหลังเราให้ดิน เราก็เดินไม่ได้เพราะคนข้างหน้าไม่เดิน ป้าก็ดันอยู่นั่น จนเราเริ่มโมโห ก็เลยหันไปพูดเป็นภาษาอังกฤษกับป้าคนนั้นว่า หยุดดันหลังฉันเดี๋ยวนี้  ดูข้างหน้านี่ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่ มันเดินไม่ได้  ใยป้าแกก็เลยหยุดดัน  ... แต่หลังจากพูดไป ในใจก็คิด ป้าแกจะฟังออกไม๊นะ เค้าอาจจะเป็นคนไทย หรือมาเลย์เซีย แต่ดูแล้วป้าไม่น่าเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ที่แกหยุด คงเป็นเพราะน้ำเสียงและสีหน้าของเรามากกว่า เพราะหน้าเราบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด (ตามสไตร์คนใส่หน้ากากไม่เป็น อารมณ์เสียจะมาให้ยิ้ม ทำไม่ได้)

               และแล้วก็ออกมาจากเครื่องบิน จนได้ เราก็จัดแจงไปรับกระเป๋าเดินทาง ก็มาเจอปัญหาอีกจนได้ เนื่องจากเที่ยวบินที่มาเนี่ยมีประชาชนชาวมุสลิมเยอะมาก กระเป๋าเดินทาง ( อาจจะเรียกว่าถุงปุ๋ยเดินทางก็ได้ เพราะบางคนใช้ถุงปุ๋ยจริงๆ นะ พันเชือกรอบๆ ป้องกันคนแกะ  ) เยอะมาก เราก็รอ... เกือบ 1 ชม. ก็ไม่มีวี่แววของกระเป๋าเดินทางเราซะที ... รอจนกระเป๋าเดินทางหมด ก็ไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา  (เอาอีกแล้ว สารพันปัญหารบกวนใจ) เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ว่า เรารอกระเป๋าเดินทาง แต่ไม่มีมา ช่วยเช็คหน่อยได้ไม๊  น้องพนักงานสายการบินอียิปต์แอร์ก็ช่วยดำเนินการให้ ปรากฏว่าไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา น้องเค้าก็เลยทำเรื่องติดตามเพราะกระเป๋าเดินทางเราอาจจะตกค้างที่ไคโร หรือไปกับเที่ยวบินที่จะไปมาเลเซีย ( ยังต้องส่งประชาชนมุสลิมชาวมาเลย์เซียอีก)   ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วจะติดต่อมาหาเรา  เราก็เซ็ง   เดินไปหาพี่สาว 2 คนที่มารอรับ  ....  เป็นเที่ยวบินที่เรียกได้ว่า น้องๆ นรก ก็ว่าได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น