ได้เวลากลับเมืองไทยแล้วซินะ เช้าวันที่ 1 กันยายน 2554
เวลาประมาณเที่ยง เริ่มเดินทางไปสนามบินมิวนิค ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม.
ตอนออกจากบ้านอากาศดี๊ดี 24 องศา แต่พอขับรถไปสักพัก ฝนเริ่มโปรย
และกลายเป็นตกหนัก แต่จนแล้วจนรอดก็มาถึงมิวนิค
ที่สนามบินมิวนิคปกติแล้วไม่รู้ว่ามีกี่สายการบิน แต่เท่าที่ดูก็เห็นแค่
สายการบิน Lufthansa เท่านั้นที่ทำหน้าที่รับเช็คอิน อ้อลืมบอกไป
เราใช้เวลาชั่งกระเป๋าเดินทางอยู่หลายรอบ(ชั่งเครื่องชั่งน้ำหนักที่บ้าน
แฟน)เนื่องจากสัมภาระที่นำมาจากเมืองไทยก็เยอะอยู่แล้ว ประกอบกับเสื้อผ้า
รองเท้าที่ซื้อเพิ่ม และของฝากอีก ปรากฏว่าน้ำหนักรวมแล้ว ประมาณ 30
กิโลกรัม แต่สายการบินเค้าให้แค่ 24 กิโลกรัม ทำยังไงละที่นี้
เราก็เลยต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมของแฟนเพื่อเป็นกระเป๋าที่สามารถนำ
ขึ้นบินได้ ( ปรากฏว่าฉันต้องแบกกระเป๋าน้ำหนักเกือบ 5 กิโลกรัมไปทุกแห่งหน
เซ็งจริงๆ ) หลังจากเช็กอินเรียบร้อย แฟนเราก็ดีจริงๆ
อยากจะอยู่กับเราให้นานที่สุด
ถึงขนาดไปขอร้องเจ้าหน้าที่สายการบินว่าขอไปส่งเราข้างใน แต่ก็ไม่เป็นผล
เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต
เราสองคนก็เลยอยู่ข้างนอกจนถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเครื่อง
แฟนเราก็เลยได้แค่มาส่งตรงบริเวณที่เค้าตรวจอาวุธ
ว่าซุกซ่อนในกระเป๋าหรือร่างกายเราหรือไม่ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร
) ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องบิน ใช้เวลานานพอสมควร
ไม่รู้เครื่องบินสายการบินอียิปต์แอร์ กัปตันขับหลงหรืออย่างไร ไม่มาซะที
แต่แล้วก็มาจนได้เราได้นั่งที่ติดทางเดิน ที่นั่ง 30 H ( Gate H 30
ที่นั่ง 30 H จำง่ายดี อิอิ )
เนื่องจากแฟนไม่สามารถจองที่นั่งริมหน้าต่างได้ ( ยังไม่เข็ด
ยังอยากนั่งริมน่าต่างอยู่ ) เราก็นั่งเรียบร้อย
สักพักมีวัยรุ่นชาวเยอรมันชายหญิงคู่หนึ่ง (เราเห็นพวกเขาตั้งแต่อยู่ใน
Gate แล้ว น่ารักดี) เดินมาเราจำได้ก็เลยมอง น้องผู้ชายบอกกับเราว่า
นั่นที่นั่นของผมครับ เรานึกในใจ มาบอกฉันทำไม แต่นึกขึ้นได้ อ้อ
เราต้องลุก เราก็ลุกให้พวกเขานั่ง น้องผู้หญิงนั่งติดริมน่าต่าง
และก็น้องผู้ชาย
เที่ยวบินนี้คนเยอะ
เกือบเต็มลำเลยที่เดียว เรายอมทนไม่เข้าห้องน้ำเลย ตลอด 4 ชั่วโมง
เพราะคนเข้าคิวเข้าห้องน้ำกันไม่ขาดระยะ
อ้อเกือบทะเลาะกับพวกอาหรับบนเครื่องซะแล้ว
เนื่องจากเราจะปรับเบาะให้สามารถเอนหลังได้ แต่ดันมีคนเคาะไม่ให้ปรับ
เพราะสามีของหล่อนตัวใหญ่ นั่งอยู่ด้านหลังเรา เราก็เออ
เดี๋ยวรอดูคนอื่นก่อน ถ้าเค้าปรับได้ ฉันก็ต้องปรับได้
เสียเงินเท่ากันจะมาให้ฉันนั่งหลังตรงคนเดียว
ฉันไม่ยอมอย่างน้อยก็ต้องเท่ากับน้องฝรั่งที่นั่งข้างๆ ฉัน เราก็ค่อยๆ
ปรับทีละนิด ๆ ให้เท่ากับน้องฝรั่ง แต่ดูๆ แล้วก็ปรับเบาะกันได้แค่คนละนิด
ละหน่อย เพราะที่มันแคบ ... ต้องทำใจ ไม่ได้ซื้อตั๋วเฟิรส์คลาสนี่
และแล้วก็ถึง ไคโร พอลงจากเครื่องบินก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆ
พวกเขาเดินไปขึ้นรถบัส เราก็ขึ้นตาม แล้วรถบัสก็ขับวนมาจอดที่สนามบิน
และเราก็เดินตามชาวบ้านเขาไปประกอบกับมองป้ายว่าเราจะไปต่อเครื่องบินเพื่อ
มาเมืองไทย เค้าไปทางไหน สุดท้ายก็งงค่ะ บางคนเลี้ยวไปทางโน้น
บางคนเลี้ยวมาทางนี้ และเพื่อความแน่ใจเลยถามเจ้าหน้าที่
เค้าก็ชี้ให้เราเข้าไปแผนกตรวจเอกสารอีกครั้ง หลังจากตรวจเอกสารเรียบร้อย
แล้วเราก็ไปเข้าห้องน้ำ ( เนื่องจากอั้นมานาน)
การรอเปลี่ยนไฟรด์ครั้งนี้ใช้เวลานานมาก ตามโปรแกรมต้องบิน ประมาณ 23.30 น.
แต่ไฟรด์ดันดีเลย์ ต้องรอต่อไปเรื่อยๆ ตอนแรกป้ายบอกแค่ ครึ่งชั่วโมง
พอสักพักไปดูป้าย เลื่อนไปเป็น 1 ชั่วโมง พอสักพักไปดูป้ายอีกที
เลื่อนไปอีก เป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง ไอ้เราก็เริ่มหิวน้ำทำยังไงดี
ไม่อยากซื้ออะไรกินหรอก เพราะรู้ว่าของแพง
ประกอบกับไม่มีเงินสกุลที่คนอียิปต์เค้าใช้กัน แต่เอาวะ หิวน้ำมาก
ก็เลยไปหยิบขวดน้ำมา 1 ขวด บ้านเราก็ประมาณ 7 บาท เป็นน้ำธรรมดา
ไม่ใช่น้ำแร่ เราก็ถือไปหาพนักงานแล้วบอกว่าน้ำขวดนี้ราคาเท่าไร
แต่ฉันมีแต่เงินยูโร ปรากฏว่าพนักงานชาวอียิปต์บอก 1 ยูโร ครึ่ง ฮ้า
ฉันฟังผิดไปป่าวเนี่ย เท่าไหร่นะ ฉันถามอีกรอบ เค้าก็ตอบแบบเดิม เรานึก 1
ยูโร เท่ากับ 44 บาท 1 ยูโรครึ่ง ก็ 60กว่าบาท เออเก็บไว้กินเองเถอะ
เราก็บ่นกับตัวเอง แต่ตั้งใจให้เค้าได้ยิน " แพง ไม่ซื้อแล้ว"
แล้วก็ตั้งขวดน้ำไว้ตรงนั้นแหละ คนเราสามารถขาดน้ำได้เป็นวันๆ
นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าเราจะตายก็ให้มันรู้ไป แล้วก็เดินหาที่นั่งพัก
โชคดีมีแอ๊บเปิ้ล และ ขนมปังไส้กรอกติดกระเป๋ามาด้วย
ก็เลยช่วยประทังความหิวได้บ้าง ส่วนเรื่องน้ำ เราอมลูกอมรสมิ้นเอา
ช่วยได้นิดนึง
รอแล้วรอเล่าก็ไม่เรียกให้เข้า Gate ซะที ( Gate 08 ที่นั่ง 44 A
ริมหน้าต่าง อิอิ สมใจ) เนื่องจากเครื่องดีเลย์
ทำให้ผู้โดยสารเสียเวลาทางสายการบินจึงมอบน้ำดื่มกระป๋อง เป็นการตอบแทน (
เรานึกในใจ น่าจะให้น้ำดื่มตั้งนานแล้ว หิวน้ำจะแย่ )
และแล้วการรอคอยก็มาถึง เราก็ไปนั่งที่ของเราบนเครื่อง
รอสักพักเหมือนผู้โดยสารทุกคนขึ้นเครื่องหมดแล้ว
เราดีใจมากเพราะบริเวณที่นั่งเรา ซึ่งมีด้วยกัน 3 ที่นั่งนั้นว่าง
อดคิดในใจไม่ได้ว่า โอ้ว ที่ตรงนี้เป็นของเราอีกแล้วเหรอเนี่ย
จะได้นอนสบายอีกแล้วเหรอ ดีจริงๆ เลย ( เรายิ้มกับตัวเอง)
แต่แล้วความสุขของเราก็พังทลายเมื่อมีประชาชนชาวมุสลิมจำนวนมากมาย
ขึ้นมาบนเครื่องจนเต็ม พวกเค้าเป็นคณะแสวงบุญ จากประเทศไทย และมาเลย์เซีย
มาอยู่อียิปต์ เป็นเวลา 1 เดือน
วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาเดินทางกลับกันพอดี ( อะไรจะเฮงได้ขนาดนี้ )
ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เราเป็นคนไทย
แต่เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสายการบินจึงอนุญาตให้เอากระเป๋าเดินทาง
ล้อลากขนาดปานกลาง แต่น้ำหนักเยอะ ขึ้นเครื่องได้
(ไม่ได้ชั่งน้ำหนักหรืออย่างไร)
เพราะพี่คนนั้นเค้าเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนที่ไว้กระเป๋าเหนือศีรษะไม่ได้ยก
ไม่ไหว มันหนัก
เขาก็เลยขอร้องให้ผู้ชายฝรั่งผิวดำที่นั่งอยู่บริเวณนั้นช่วย ขนาดผู้ชายนะ
แถมเป็นฝรั่งด้วย ยังยกประเป๋าพี่แกแทบไม่ไหว
คิดดูเถอะแสดงว่าน้ำหนักมันต้องมากโขอยู่
ตลอด
8 ชม. เราไม่ได้หลับเลย เพราะนั่งหลับไม่เป็น
ประกอบกับแอร์คอนดิชั่นบนเครื่องบินก็ร้อน ( สันนิษฐานว่า คนมันเยอะ
ก็เลยทำให้แอร์ไม่เย็น ) ดูหนังจบไป 2 เรื่อง ( ดูไปงั้นๆ ไม่ได้สนใจ
แค่ฆ่าเวลา) เล่นเกมส์นิดหน่อย เพราะเป็นคนไม่ชอบเล่นเกมส์
เพลงบนเครื่องก็ไม่ได้เรื่องเลย มีหลากหลายประเภทจริง ทั้งคลาสสิค ร็อค
แต่เราไม่ชอบเลย ดีนะเรามี MP 3 ช่วยเราได้มากที่เดียว
เนื่องจากคนบนเครื่องบินเยอะมาก แต่พนักงานต้อนรับ มีแค่ 4 คน
การบริการจึงเป็นไปด้วยความลำบาก อาหารและเครื่องดื่มก็ได้ช้า
แต่ที่น่ารำคาญมากคือการเข้าห้องน้ำ เรายอมอั้น(อีกแล้ว) จนทนไม่ไหว
และต้องจำใจเข้าเพราะห้องน้ำสกปรกมาก
หลายชั่วโมงผ่านไป (เราภาวนาให้ถึงกรุงเทพเร็วๆ ทีเถอะ กัปตัน
ช่วยบินเร็วหน่อยได้ไม๊) หลังจากพนักงานต้อนรับให้เปิดหน้าต่าง
และเริ่มแจกอาหาร เราก็รู้ได้ว่า การรอคอยของเราใกล้สิ้นสุดแล้ว
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย เรามองหน้าต่างบ่อยมาก
พอเริ่มเห็นพื้นดินเรารู้สึกดีใจที่ได้กลับไทย
แต่รู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่จะได้พ้นจาก... ตรงนี้ซะที
และแล้วก็แลนด์ดิ้งด้วยความปลอดภัย
หลังจากเครื่องหยุดสนิท คนเริ่มลุก
เราก็ลุกด้วยความรวดเร็วเพื่อจะได้ออกจากเครื่องให้เร็วที่สุด
แต่ปัญหาติดอยู่ที่ประตูไม่เปิด
ผู้โดยสารต่างเอาสัมภาระของตัวเองออกจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ
ทำให้ช่องทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่หอบสัมภาระพะรุงพะรัง
เราก็หงุดหงิดเพราะเครื่องดีเลย์ พี่สาว 2
คนที่มารอเค้าไม่รู้ว่าเครื่องดีเลย์ มารอกันตั้งแต่ 11 โมง (
กลัวรถติดเลยออกกันแต่เช้าเพราะตามแพลนต้องมาถึงไทย บ่าย 2 ครึ่ง
แต่เครื่องดันถึง 4 โมง) อารมณ์เริ่มหงุดหงิดประกอบกับมีป้าคนนึง
ดันหลังเราให้ดิน เราก็เดินไม่ได้เพราะคนข้างหน้าไม่เดิน ป้าก็ดันอยู่นั่น
จนเราเริ่มโมโห ก็เลยหันไปพูดเป็นภาษาอังกฤษกับป้าคนนั้นว่า
หยุดดันหลังฉันเดี๋ยวนี้ ดูข้างหน้านี่ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่
มันเดินไม่ได้ ใยป้าแกก็เลยหยุดดัน ... แต่หลังจากพูดไป ในใจก็คิด
ป้าแกจะฟังออกไม๊นะ เค้าอาจจะเป็นคนไทย หรือมาเลย์เซีย
แต่ดูแล้วป้าไม่น่าเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ที่แกหยุด
คงเป็นเพราะน้ำเสียงและสีหน้าของเรามากกว่า
เพราะหน้าเราบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด (ตามสไตร์คนใส่หน้ากากไม่เป็น
อารมณ์เสียจะมาให้ยิ้ม ทำไม่ได้)
และแล้วก็ออกมาจากเครื่องบิน จนได้ เราก็จัดแจงไปรับกระเป๋าเดินทาง
ก็มาเจอปัญหาอีกจนได้
เนื่องจากเที่ยวบินที่มาเนี่ยมีประชาชนชาวมุสลิมเยอะมาก กระเป๋าเดินทาง (
อาจจะเรียกว่าถุงปุ๋ยเดินทางก็ได้ เพราะบางคนใช้ถุงปุ๋ยจริงๆ นะ
พันเชือกรอบๆ ป้องกันคนแกะ ) เยอะมาก เราก็รอ... เกือบ 1 ชม.
ก็ไม่มีวี่แววของกระเป๋าเดินทางเราซะที ... รอจนกระเป๋าเดินทางหมด
ก็ไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา (เอาอีกแล้ว สารพันปัญหารบกวนใจ)
เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ว่า เรารอกระเป๋าเดินทาง แต่ไม่มีมา
ช่วยเช็คหน่อยได้ไม๊ น้องพนักงานสายการบินอียิปต์แอร์ก็ช่วยดำเนินการให้
ปรากฏว่าไม่มีกระเป๋าเดินทางของเรา
น้องเค้าก็เลยทำเรื่องติดตามเพราะกระเป๋าเดินทางเราอาจจะตกค้างที่ไคโร
หรือไปกับเที่ยวบินที่จะไปมาเลเซีย (
ยังต้องส่งประชาชนมุสลิมชาวมาเลย์เซียอีก)
ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วจะติดต่อมาหาเรา เราก็เซ็ง เดินไปหาพี่สาว 2
คนที่มารอรับ .... เป็นเที่ยวบินที่เรียกได้ว่า น้องๆ นรก ก็ว่าได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น